
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างน่าวิตก แม้จะมีกฎหมายห้ามนำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แต่ตลาดใต้ดินและการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ยังคงเฟื่องฟู ส่งผลให้อุปกรณ์สูบไอระเหยเหล่านี้แพร่หลายในสถานศึกษาทั่วประเทศ
จากการสำรวจของศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลล่าสุด พบว่าอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนไทยอายุ 13-19 ปี เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในรอบ 5 ปี โดยเด็กอายุน้อยที่สุดที่เริ่มทดลองใช้มีอายุเพียง 10 ปีเท่านั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ มาจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจของเยาวชน รสชาติที่หลากหลาย กลิ่นหอมชวนลิ้มลอง และการโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดียที่เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความเข้าใจผิดในหมู่เยาวชนว่าบุหรี่ไฟฟ้า “ปลอดภัยกว่า” บุหรี่แบบเผาไหม้ ทั้งที่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า สารนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้ามีผลกระทบร้ายแรงต่อสมองที่กำลังพัฒนาของเยาวชน ส่งผลต่อความจำ สมาธิ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์ นอกจากนี้ น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ายังประกอบด้วยสารเคมีอันตรายหลายชนิดที่อาจก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจและปอดอักเสบรุนแรงได้
บุหรี่ไฟฟ้าอะไร
บุหรี่ไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์สูบที่มีกลไกการทำงานแตกต่างจากบุหรี่ทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่บุหรี่แบบดั้งเดิมใช้การเผาไหม้ยาสูบโดยตรง บุหรี่ไฟฟ้าใช้กลไกทางไฟฟ้าเพื่อให้ความร้อนแก่น้ำยาที่บรรจุสารเคมีต่างๆ ทำให้กลายเป็นละอองไอที่ผู้ใช้สูดเข้าสู่ร่างกาย การไม่มีกระบวนการเผาไหม้ทำให้ไม่เกิดควันเหมือนบุหรี่ทั่วไป แต่จะเป็นละอองไอที่มองเห็นได้เมื่อผู้ใช้พ่นออกมา
บุหรี่ไฟฟ้าถูกออกแบบให้จำลองประสบการณ์การสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม โดยผู้ใช้สามารถสูดและพ่นไอออกมาได้เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ปกติ น้ำยาที่ใช้ในบุหรี่ไฟฟ้ามักมีการเติมสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดหลักที่พบในผลิตภัณฑ์ยาสูบ ทำให้ผู้ใช้ได้รับความพึงพอใจจากการเสพนิโคตินเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่แบบเผาไหม้ แม้จะในบริบทที่แตกต่างกัน
นอกจากคำว่าบุหรี่ไฟฟ้าแล้วนั้น มักจะได้ยินคำว่า “พอด” (Pod) เป็นการพัฒนาต่อยอดจากบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นแรกๆ โดยได้รับการออกแบบให้มีขนาดเล็กลง พกพาสะดวก และใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ระบบพอดประกอบด้วยสองส่วนหลัก ได้แก่ แบตเตอรี่และตลับบรรจุน้ำยา (พอด) ที่ถอดเปลี่ยนได้ เมื่อน้ำยาหมด ผู้ใช้เพียงแค่เปลี่ยนตลับพอดใหม่แทนที่จะต้องเติมน้ำยาเอง ทำให้การใช้งานสะดวกและไม่ยุ่งยาก นอกจากนี้ อุปกรณ์พอดส่วนใหญ่ยังทำงานโดยการสูดโดยตรง ไม่จำเป็นต้องกดปุ่มเพื่อเปิดใช้งาน
การดูดพอดได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในกลุ่มคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว และคนที่ไม่เคยสูบมาก่อน ทั้งด้วยเรื่องเทรนด์ และความเชื่อที่ว่าการดูดพอดปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่ หรือใช้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่อยากเลิกบุหรี่แบบหักดิบ
กระบวนการทำงานของบุหรี่ไฟฟ้ามีขั้นตอนพื้นฐาน โดยเริ่มจากเมื่อผู้ใช้กดปุ่มหรือสูบ (ขึ้นอยู่กับรุ่นและการออกแบบของอุปกรณ์) กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะถูกส่งไปยังขดลวดความร้อน ทำให้เกิดการเผาไหม้และระเหยน้ำยาให้กลายเป็นไอ จากนั้นผู้ใช้จะสูดไอเหล่านี้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและปอด แล้วพ่นออกมาในลักษณะที่คล้ายคลึงกับการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม
การศึกษาจากหลายแหล่งระบุว่า แม้บุหรี่ไฟฟ้าจะถูกนำเสนอว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่แบบเผาไหม้ แต่ยังคงมีความเสี่ยงต่อสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเยาวชนและผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน เนื่องจากสารนิโคตินและสารเคมีอื่นๆ ในละอองไอยังคงส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงการพัฒนาของสมองในวัยรุ่น

ส่วนประกอบหลักของบุหรี่ไฟฟ้า
บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ออกแบบมาเพื่อส่งมอบนิโคตินและสารอื่นๆ ในรูปแบบของไอระเหย โดยประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วนที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
- แบตเตอรี่ (Battery) เป็นแหล่งพลังงานหลักที่ขับเคลื่อนการทำงานของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งระบบ โดยมีคุณลักษณะสำคัญ ส่วนใหญ่เป็นแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จซ้ำได้ (rechargeable lithium-ion batteries) ที่มีความจุตั้งแต่ 300 mAh ถึง 3,000 mAh ขึ้นอยู่กับรุ่นและขนาด บางรุ่นมีระบบปรับกำลังไฟ (variable voltage/wattage) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมปริมาณไอและรสชาติได้ตามความต้องการ มีวงจรควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (circuit board) ที่ควบคุมการทำงาน รวมถึงระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันการช็อต การใช้งานเกินกำหนด และการชาร์จไฟเกิน
- อะตอมไมเซอร์ (Atomizer) หรือตัวทำให้เกิดไอระเหยเป็นส่วนสำคัญที่ทำหน้าที่แปลงน้ำยาให้กลายเป็นไอ ประกอบด้วย ขดลวดความร้อน (heating coil) ที่ทำจากวัสดุเช่น นิโครม (Nichrome), คานธาล (Kanthal) หรือสแตนเลส ซึ่งมีค่าความต้านทานเฉพาะเพื่อให้เกิดความร้อนที่เหมาะสม (โดยทั่วไปอยู่ที่ 100-300°C) วัสดุดูดซับ (wick) ทำจากวัสดุเช่น ฝ้าย, เซรามิก หรือซิลิกา ทำหน้าที่ดูดซับน้ำยาจากแท็งก์มาสู่ขดลวดความร้อน ระบบระบายอากาศ (airflow system) ที่ช่วยควบคุมปริมาณอากาศที่ผ่านเข้าไปผสมกับไอระเหย ส่งผลต่อปริมาณไอและรสชาติโดยตรง
- น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า (E-liquid) เป็นสารละลายที่ถูกทำให้กลายเป็นไอและสูดเข้าสู่ร่างกาย มีองค์ประกอบหลัก คือ โพรพิลีนไกลคอล (Propylene Glycol หรือ PG) และกลีเซอรีน (Vegetable Glycerin หรือ VG) เป็นตัวทำละลายหลักที่สร้างไอระเหย โดยทั่วไปมีสัดส่วนที่แตกต่างกันเพื่อปรับความเข้มข้นของไอและความรู้สึกในลำคอ นิโคติน (Nicotine) มีความเข้มข้นตั้งแต่ 0 mg/ml ถึง 50 mg/ml ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ โดยในหลายประเทศมีการจำกัดความเข้มข้นสูงสุดไว้ที่ 20 mg/ml สารแต่งกลิ่นและรส (Flavorings) เป็นสารเคมีประเภทต่างๆ ที่ให้กลิ่นและรสชาติ ซึ่งมีมากกว่า 7,000 ชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงสารเพิ่มคุณภาพอื่นๆ เช่น สารทำให้เย็น (cooling agents), สารปรับความเป็นกรด-ด่าง และสารกันเสีย
สารเคมีในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า
ผลกระทบต่อสุขภาพ
น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นส่วนสำคัญที่ถูกทำให้กลายเป็นละอองไอและสูดเข้าสู่ร่างกายผู้ใช้ ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดที่มีทั้งคุณสมบัติและความเสี่ยงต่อสุขภาพแตกต่างกัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสารเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- นิโคติน (Nicotine) เป็นสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทที่พบในยาสูบและเป็นองค์ประกอบสำคัญในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า โดยนิโคตินในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีหลายระดับความเข้มข้น ตั้งแต่ 0 mg/ml (ไม่มีนิโคติน) ไปจนถึง 50 mg/ml ในผลิตภัณฑ์บางประเภท แม้ว่าหลายประเทศจะจำกัดความเข้มข้นสูงสุดไว้ที่ 20 mg/ml เมื่อสูดดมเข้าสู่ร่างกาย นิโคตินจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วและส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทหลายชนิด เช่น โดพามีน ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจและนำไปสู่การเสพติด การได้รับนิโคตินเป็นประจำส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับปัญหาพัฒนาการของสมองในเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสนใจ การเรียนรู้ และการควบคุมอารมณ์
- โพรพิลีนไกลคอล (Propylene Glycol: PG) เป็นสารทำละลายและตัวนำพาหลักในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า มีคุณสมบัติเป็นของเหลวไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีคุณสมบัติในการละลายสารให้กลิ่นและนิโคตินได้ดี เมื่อได้รับความร้อนจะกลายเป็นไอที่ให้ความรู้สึก “กระทบคอ” (throat hit) คล้ายกับการสูบบุหรี่ทั่วไป แม้ว่า FDA จะรับรองว่าโพรพิลีนไกลคอลมีความปลอดภัยสำหรับการบริโภคในอาหารและยา แต่การศึกษาเกี่ยวกับการสูดดมในระยะยาวยังมีจำกัด มีรายงานว่าการสูดดมโพรพิลีนไกลคอลอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ และในผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้หรือโรคหอบหืดอาจทำให้อาการกำเริบได้
- กลีเซอรีน (Vegetable Glycerin: VG) เป็นส่วนประกอบหลักอีกชนิดหนึ่งในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีคุณสมบัติแตกต่างจากโพรพิลีนไกลคอล เป็นของเหลวข้นใส มีรสหวานเล็กน้อย สกัดได้จากพืช เช่น น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว เมื่อได้รับความร้อนจะสร้างไอที่หนาแน่นและมองเห็นได้ชัดกว่าโพรพิลีนไกลคอล ให้ความรู้สึกนุ่มกว่าในลำคอแต่อาจระคายเคืองน้อยกว่า การศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า การเผาไหม้กลีเซอรีนที่อุณหภูมิสูงอาจก่อให้เกิดสารอันตราย เช่น อะโครลีน (acrolein) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ สัดส่วนของ PG ต่อ VG ในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีความหลากหลาย ตั้งแต่ 50:50, 70:30, ไปจนถึง 30:70 ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ในแง่ของรสชาติและปริมาณไอ
- สารแต่งกลิ่นและรส (Flavorings) เป็นส่วนสำคัญที่ดึงดูดผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยมีความหลากหลายมากกว่า 7,000 ชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า แบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น ผลไม้ ขนมหวาน เมนทอล ยาสูบ หรือเครื่องดื่ม สารให้กลิ่นรสหลายชนิดที่ปลอดภัย สำหรับการบริโภคอาจแสดงความเป็นพิษเมื่อสูดดมเข้าสู่ปอดโดยตรง เช่น ไดอะซิทิล (diacetyl) ที่ให้กลิ่นรสเนยมีความเชื่อมโยงกับโรคปอดชนิด bronchiolitis obliterans หรือ “ปอดเนย” (popcorn lung) งานวิจัยพบว่าสารแต่งกลิ่นรสบางชนิดเมื่อทำปฏิกิริยากับตัวทำละลายอาจก่อให้เกิดสารใหม่ที่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ทางเดินหายใจ

ผลกระทบต่อสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า
บุหรี่ไฟฟ้ามักถูกโฆษณาว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา แต่ความจริงแล้ว การศึกษาทางการแพทย์ล่าสุดพบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าก็ยังมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจากสารเคมีต่างๆ ที่อยู่ในน้ำยา โดยผลกระทบต่อสุขภาพสามารถจำแนกได้หลายรูปแบบ
ผลกระทบของนิโคตินต่อร่างกาย นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างกว้างขวาง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง แต่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่สำคัญหลายประการ นิโคตินเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้เกิดการหลั่งสารสื่อประสาทหลายชนิด โดยเฉพาะโดพามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับวงจรความพึงพอใจและการเสพติด การได้รับนิโคตินเป็นประจำส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนและนอร์อะดรีนาลีน ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และหลอดเลือดหดตัว ในสตรีมีครรภ์ นิโคตินสามารถผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมองและระบบประสาท เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและทารกน้ำหนักตัวน้อย
นิโคตินยังมีผลต่อระบบเมตาบอลิซึม โดยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลและอื่นๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้ออินซูลินและโรคเบาหวานประเภท 2 การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่านิโคตินอาจส่งเสริมการเติบโตของเซลล์มะเร็งที่มีอยู่แล้ว และลดประสิทธิภาพของการรักษามะเร็งบางประเภท
ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ การสูดไอจากบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจในหลายลักษณะ ละอองไอที่มีสารเคมีหลายชนิด รวมทั้งโพรพิลีนไกลคอลและกลีเซอรีน สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจและปอด ทำให้เกิดอาการไอ แน่นหน้าอก และหายใจลำบาก การศึกษาพบว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสามารถเพิ่มการอักเสบในปอดและทางเดินหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน สารแต่งกลิ่นรสบางชนิด เช่น ไดอะซิทิล มีความเชื่อมโยงกับโรค bronchiolitis obliterans หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ปอดป็อปคอร์น” ซึ่งเป็นโรคปอดชนิดรุนแรงและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
เมื่อสารทำละลายในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าได้รับความร้อนสูง อาจก่อให้เกิดสารพิษ เช่น อะโครลีน ฟอร์มาลดีไฮด์ และอะซิตัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นพิษต่อเซลล์ปอด การศึกษาระยะยาวพบว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และโรคหอบหืด ในช่วงปี 2019-2020 มีการระบาดของโรคปอดอักเสบรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากสารวิตามินอีอะซิเตท ที่ใช้เป็นสารเจือจางในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่มีสารทีเอชซี ทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิตในหลายราย
ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดในหลายด้าน นิโคตินและสารเคมีอื่นๆ ในบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ลดความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และเพิ่มการอักเสบของเนื้อเยื่อหลอดเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด การศึกษาในผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำพบว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีโรคหัวใจอยู่เดิม อนุภาคขนาดเล็กในไอบุหรี่ไฟฟ้าสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและก่อให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกาย ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด
การทบทวนงานวิจัยล่าสุดจากสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (American Heart Association) ระบุว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง แม้ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่น้อยกว่าบุหรี่แบบดั้งเดิม แต่ก็ยังมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผลกระทบต่อการพัฒนาสมองเยาวชน
สมองของมนุษย์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยงานวิจัยด้านประสาทวิทยาพัฒนาการได้ชี้ให้เห็นว่าสมองมนุษย์จะมีการพัฒนาไปจนถึงอายุประมาณ 25 ปี (Arain et al., 2013) โดยเฉพาะในส่วนของสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งเป็นส่วนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการควบคุมตนเอง การตัดสินใจ การวางแผน และการประเมินความเสี่ยง งานวิจัยของศูนย์วิจัยประสาทวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 25 ปีเป็นช่วงวิกฤตของการเชื่อมโยงวงจรประสาทในสมอง (neural circuit formation) ซึ่งหากได้รับสารเสพติดในช่วงนี้ จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง (Steinberg, 2015)
การศึกษาของสถาบันวิจัยสมองแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Institute on Drug Abuse) ในปี 2020 ระบุว่า สมองของวัยรุ่นยังอยู่ในช่วงของความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับสารนิโคตินซึ่งเป็นสารประกอบหลักในบุหรี่ไฟฟ้า นิโคตินจะส่งผลโดยตรงต่อระบบประสาทและสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะโดพามีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับวงจรการให้รางวัลและความพึงพอใจของสมอง (reward pathway) (Lydon et al., 2014)
ผลกระทบต่อความจำและความสามารถในการเรียนรู้ ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพนักเรียนระดับชาติในสหรัฐอเมริกา (National Youth Tobacco Survey) ในปี 2022 พบว่า นักเรียนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำมีแนวโน้มรายงานปัญหาการเรียนมากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้ถึง 2.2 เท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาด้านสมาธิและความสามารถในการจดจำเนื้อหาบทเรียน สอดคล้องกับงานวิจัยของ Dr. Adam Leventhal จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียใต้ (2020) ที่พบว่านักเรียนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมสมาธิในการเรียนได้เหมือนกลุ่มควบคุม แม้แต่ในช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า
ภาวะสมองล้า (Brain Fog) และผลกระทบต่อความคิด
ผลการศึกษาทางคลินิกพบว่าผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะที่เรียกว่า “สมองล้า” หรือ brain fog ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่ผู้ป่วยมีอาการสับสน มึนงง ไม่สามารถจดจ่อหรือโฟกัสกับงานที่ทำได้ การศึกษาในวารสาร JAMA Network Open โดย Xie et al. (2020) พบว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองล้าถึง 1.8 เท่า โดยสัมพันธ์กับปริมาณและความถี่ในการใช้
กลไกการเกิดภาวะสมองล้าจากบุหรี่ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับการอักเสบของเซลล์ประสาทและการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของเลือดในสมอง การศึกษาด้วยเทคนิค functional MRI โดย Zimmerman et al. (2019) พบว่า ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าวัยรุ่นมีรูปแบบการไหลเวียนของเลือดในสมองส่วนหน้าที่ผิดปกติเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งสอดคล้องกับความบกพร่องในการคิดวิเคราะห์และการทำงานของสมองระดับสูง
ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง
ความเสี่ยงเฉพาะในเด็กเล็ก ต่อการได้รับสารพิษจากบุหรี่ไฟฟ้าสูงกว่าผู้ใหญ่ด้วยเหตุผลทางกายภาพและสรีรวิทยาหลายประการ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยคาลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก (2021) พบว่า เด็กที่มีความสูงน้อยกว่ามีแนวโน้มที่จะสัมผัสกับละอองลอยของบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่า เนื่องจากละอองไอจะลอยต่ำและมีความเข้มข้นมากกว่าในระดับความสูงของเด็ก ทำให้เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้รับสารพิษมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 1.5 เท่า
การศึกษาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) ในปี 2022 แสดงให้เห็นว่าน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคตินเข้มข้นมีความเป็นพิษสูงมากสำหรับเด็ก แม้เพียงการสัมผัสทางผิวหนังหรือการกลืนในปริมาณเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการพิษนิโคตินที่รุนแรงได้ มีรายงานการเพิ่มขึ้นของการได้รับพิษจากบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมากกว่า 1,300 กรณีในปี 2021 เพียงปีเดียว โดยหลายกรณีต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติ
นิโคตินยังมีผลกระทบที่รุนแรงต่อสมองที่กำลังพัฒนาของทารกและเด็กเล็ก การศึกษาโดย Dwyer et al. (2018) พบว่าการได้รับนิโคตินในช่วงต้นของชีวิตเชื่อมโยงกับปัญหาพัฒนาการทางสมอง การเรียนรู้ และพฤติกรรม รวมถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคสมาธิสั้น (ADHD) และปัญหาการเรียนรู้ในอนาคต
สัตว์เลี้ยงมีความเปราะบางต่อสารพิษจากบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่ามนุษย์
การศึกษาทางสัตวแพทย์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (2021) พบว่า สุนัขและแมวมีอัตราการหายใจที่เร็วกว่ามนุษย์ประมาณ 3-4 เท่า (สุนัขหายใจ 15-30 ครั้ง/นาที แมวหายใจ 20-30 ครั้ง/นาที เทียบกับมนุษย์ที่หายใจประมาณ 12-16 ครั้ง/นาที) ทำให้พวกมันสูดรับสารพิษจากอากาศได้มากกว่าในเวลาเดียวกัน
นอกจากนี้ ปอดของสัตว์เลี้ยงมีขนาดเล็กกว่ามนุษย์มาก ทำให้มีความเข้มข้นของสารพิษในปอดสูงกว่าเมื่อสัมผัสกับปริมาณสารพิษเท่ากัน ตับของสัตว์เลี้ยงยังมีข้อจำกัดในการเมตาบอไลซ์สารพิษบางชนิดที่พบในบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในแมว ซึ่งขาดเอนไซม์ glucuronyl transferase บางชนิดที่จำเป็นสำหรับการกำจัดสารพิษ (Mersch et al., 2019)
มีรายงานการเพิ่มขึ้นของกรณีสัตว์เลี้ยงได้รับพิษจากการสัมผัสหรือการกินน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า การศึกษาจากศูนย์ควบคุมพิษสัตว์แห่งอเมริกา (ASPCA) ในปี 2023 รายงานการเพิ่มขึ้นของการโทรเข้าศูนย์ควบคุมพิษเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงและบุหรี่ไฟฟ้าถึง 215% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสุนัขที่เคี้ยวอุปกรณ์หรือกินน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งอาจนำไปสู่อาการพิษรุนแรงหรือเสียชีวิตได้
การตกค้างของสารพิษในสภาพแวดล้อมภายในบ้าน
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซด์ (2022) พบว่าสารพิษจากบุหรี่ไฟฟ้าสามารถตกค้างบนพื้นผิวต่างๆ ภายในบ้านได้เป็นเวลานาน ที่เรียกว่า “Third-hand exposure” หรือการได้รับสารพิษบุหรี่มือที่สาม สารเคมีจากไอระเหยบุหรี่ไฟฟ้าสามารถเกาะติดบนพรม เฟอร์นิเจอร์ หมอน ผนัง ผ้าม่าน และพื้นผิวอื่นๆ โดยสามารถคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
สารนิโคตินที่ตกค้างบนพื้นผิวยังสามารถทำปฏิกิริยากับสารมลพิษในอากาศ เช่น ไนตรัสออกไซด์ ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งชนิดใหม่ที่เรียกว่า nitrosamines เด็กและสัตว์เลี้ยงที่มีพฤติกรรมคลานหรือนอนบนพื้น รวมถึงการเลียหรือสัมผัสพื้นผิวต่างๆ จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับสารพิษเหล่านี้ผ่านทางผิวหนัง การหายใจ หรือการกลืนกิน (Matt et al., 2020)
กฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย
ประเทศไทยมีกฎหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า โดยห้ามนำเข้า ขาย ครอบครอง และใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด โดยรายละเอียดสำคัญมีดังนี้
กฎหมายการนำเข้า ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และประกาศกระทรวงพาณิชย์ บุหรี่ไฟฟ้าถูกจัดให้อยู่ในประเภทสินค้าต้องห้ามนำเข้า การนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศไทยถือว่าผิดกฎหมาย ผู้กระทำผิดอาจถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 5 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ
การจำหน่ายและให้บริการ ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 9/2558 ห้ามขายหรือให้บริการบุหรี่ไฟฟ้าและสินค้าที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี ปรับสูงสุด 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นผู้ผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย มีโทษหนักขึ้น คือจำคุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า แม้ไม่มีการนำเข้าหรือขาย ก็ถือว่าผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติศุลกากร ผู้ครอบครองอาจถูกจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับสูงสุด 4 เท่าของมูลค่าสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ การครอบครองถือเป็นการช่วยเหลือหรือซ่อนเร้นสินค้าผิดกฎหมาย
การสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะ บุหรี่ไฟฟ้าถูกจัดเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานที่ห้ามสูบบุหรี่ (เขตปลอดบุหรี่) มีโทษปรับสูงสุด 5,000 บาท

พื้นที่ห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า
ตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศพื้นที่ห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้
- สถานที่สาธารณะ
สถานบริการสาธารณสุขและส่งเสริมสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล คลินิก สถานีอนามัย สถานศึกษา เช่น โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ สถานที่ทำงานของเอกชน
- สถานที่สาธารณะทั่วไป
ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และสถานบริการอาหารและเครื่องดื่ม (ทั้งภายในอาคารและพื้นที่ปรับอากาศ) ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานที่จำหน่ายสินค้า โรงแรม รีสอร์ท โฮสเทล หรือสถานที่พักในลักษณะเดียวกัน (ในพื้นที่ส่วนกลาง) สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก
- ระบบขนส่งสาธารณะ
ยานพาหนะสาธารณะทุกประเภท เช่น รถโดยสาร รถแท็กซี่ เรือโดยสาร สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน ท่าเรือโดยสาร อาคารโดยสารของระบบขนส่งสาธารณะ เช่น สถานีรถไฟฟ้า
- สถานที่อื่นๆ
ตู้โทรศัพท์สาธารณะ เครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) หรือจุดให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ สถานที่ให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊สเชื้อเพลิง หรือสารไวไฟ ห้องน้ำสาธารณะ
บุหรี่ไฟฟ้าและพอด กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น ถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ต่อสุขภาพเยาวชน ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย ใช้งานที่ง่าย และกลิ่นรสที่ดึงดูด ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับความนิยมในกลุ่มเยาวชนอย่างรวดเร็ว แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่แบบดั้งเดิม แต่ข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ชี้ให้เห็นถึงอันตรายที่แฝงมา โดยเฉพาะผลกระทบของนิโคตินต่อสมองที่กำลังพัฒนาของเยาวชนไม่ต่างกับบุหรี่ธรรมดา
ความท้าทายในการแก้ไขปัญหานั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การสร้างความตระหนักและให้ความรู้ การมีส่วนร่วมของครอบครัวและโรงเรียน รวมถึงการพัฒนาวิธีการและระบบบำบัดรักษา การวิจัยและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องเยาวชนไทยจากภัยคุกคามของบุหรี่ไฟฟ้าและพอดที่กำลังแพร่ระบาดในปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง
- American Society for the Prevention of Cruelty to Animals. (n.d.). Keep your pets safe: E-cigarettes and pets don’t mix. https://www.aspca.org/news/keep-your-pets-safe-e-cigarettes-and-pets-dont-mix
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2563). ผลกระทบของนิโคตินต่อสมองเด็กและวัยรุ่น. https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/1589020240719032342.pdf
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2567). สถานการณ์การควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบประเทศไทย พ.ศ. 2567.
- บุญส่ง, น. (2564). บทบาทพยาบาลในการสร้างเสริมการรับรู้ของวัยรุ่นต่ออันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า. วารสารพยาบาลศาสตร์, 39(2), 123-135. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/TJN/article/download/248657/169852
- Food and Drug Administration. (2022). Results from the annual national youth tobacco survey. https://www.fda.gov/tobacco-products/youth-and-tobacco/results-annual-national-youth-tobacco-survey
- National Institute on Drug Abuse. (2020). What are the effects of nicotine on the brain? https://nida.nih.gov/publications/research-reports/tobacco-nicotine-e-cigarettes/what-are-effects-nicotine-brain
- ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี. (2565). สูบบุหรี่ไฟฟ้า เสี่ยงเกิดภาวะสมองล้า. ThaiHealth. https://www.thaihealth.or.th/สูบบุหรี่ไฟฟ้า-เสี่ยงเกิดภาวะสมองล้า
- ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2566). สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย.
- สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2560). พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560. ราชกิจจานุเบกษา, 134(39ก).
- สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค. (2558). คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ฉบับที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า “บารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า”.
- University of California, Riverside. (2022, June 8). Human skin can be damaged by exposure to thirdhand smoke and electronic cigarette. https://news.ucr.edu/articles/2022/06/08/human-skin-can-be-damaged-exposure-thirdhand-smoke-and-electronic-cigarette
- World Health Organization. (2023). WHO report on the global tobacco epidemic 2023. WHO.