เรื่องราวของฝน ความวิเศษแห่งการผ่อนคลาย

เรื่องโดย ศุภกิตติ์ คุณา

หลายคนเคยผ่านประสบการณ์เดียวกันที่เคยรู้สึกเหมือนกันไหมครับว่า ทำไมทุกครั้งที่ฟ้าครึ้มฝนเริ่มตก เสียงฝนกระทบหลังคา และเสียงฝนเริ่มดังขึ้น กลิ่นอากาศหลังฝนตก เราจะรู้สึกอยากนอนขึ้นมาทันทีโดยไม่รู้ตัว หรือรู้สึกง่วงนอนและอยากนอนหลับมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเวลาค่ำคืนที่นอนหลับในวันฝนตก แทบไม่อยากตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวัน น้ำฝนต้องมีมนต์วิเศษอะไรแน่ ๆ ก็ และบางคนอาจคิดว่าเป็นเพียงความรู้สึกในจิตใจ หลายคนเคยผ่านประสบการณ์เดียวกัน แต่จริงๆ แล้วมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้

ฝน คือเสียงวิเศษทำให้เกิดการผ่อนคลาย

ข้อมูลจาก Dr. Nathaniel Watson the director of Harborview Sleep Clinic, co-director of UW Medicine Sleep Center and a UW Neurology professor ได้ศึกษาพบว่า เสียงฝนจัดอยู่ในประเภท “เสียงสีชมพู” (Pink noise) ซึ่งเป็นเสียงที่ประกอบด้วยความถี่ทุกระดับที่มนุษย์สามารถได้ยินได้ (20 Hz ถึง 20,000 Hz) แต่มีพลังงานมากกว่าในความถี่ต่ำและน้อยกว่าในความถี่สูง ทำให้ได้เสียงที่ลึกและนุ่มนวลกว่าเสียงสีขาว

เสียงสีขาว (White noise) เป็นสัญญาณที่มีระดับความเข้มเท่ากันตลอดทุกความถี่ในช่วง 20 Hz ถึง 20,000 Hz ซึ่งครอบคลุมทุกความถี่ที่มนุษย์สามารถได้ยิน และมีลักษณะเสียงคล้ายกับเสียงสถิตย์จากวิทยุหรือโทรทัศน์

การศึกษาในปี 2012 พบว่าเสียงสีชมพูสามารถลดความซับซ้อนของคลื่นสมองและช่วยให้เกิดการนอนหลับที่มั่นคงมากขึ้น งานวิจัยในปี 2012 และ 2013 ยังพบว่าการฟังเสียงสีชมพูสามารถทำให้นอนหลับลึกขึ้น นอนนานขึ้น และปรับปรุงความจำได้ดีขึ้น ทั้งในการนอนหลับกลางคืนและการงีบกลางวัน เสียงสีชมพูมักพบในเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงลม เสียงฝน และใน บางส่วนของการพูดหรือดนตรี ผู้คนมักรู้สึกว่าเสียงสีชมพูผ่อนคลายกว่าเสียงสีขาว เนื่องจากไม่แหลมสูงเท่า

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Northwestern กำลังศึกษาวิธีการใช้เสียงสีชมพูช่วงสั้นๆ เพื่อเสริมคลื่นสมองช้าในระหว่างการนอนหลับลึก โดยในการศึกษาขนาดเล็ก เสียงสีชมพูแบบพัลส์แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจในการปรับปรุงความจำและการตอบสนองการผ่อนคลาย แม้ว่าการวิจัยเบื้องต้นจะให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ แต่ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมอีกมากเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของเสียงสีชมพูต่อการนอนหลับและการทำงานของสมอง

การใช้เสียงฝนหรือเสียงสีชมพูจากแอปพลิเคชันต่างๆ หรือ YouTube จึงมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุน แม้ว่าจะยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจกลไกการทำงานอย่างสมบูรณ์ หากคุณพบว่าเสียงเหล่านี้ช่วยให้ผ่อนคลายได้ ก็สามารถนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรการนอนหลับได้

ดังนั้นเมื่อสภาพอากาศมืดครึ้มเช่นวันฝนตก ต่อมไพเนียลในสมองจะหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน (melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมรอบการนอน-ตื่น มากขึ้น ทำให้เรารู้สึกง่วงและอยากนอน ด้านเสียงของฝนก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย เสียงฝนเป็น “Pink noise” ซึ่งคล้ายกับ “White noise” ที่ช่วยปกปิดเสียงรบกวนอื่นๆ และช่วยให้หลับง่ายขึ้น การวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและคอร์เนลพบว่า เสียงแบบนี้ช่วยให้ผู้ใหญ่หลับเร็วขึ้นถึง 38% ในบางกรณี การลดลงของความดันบารอเมตริกก่อนพายุก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง เพราะทำให้ระดับออกซิเจนในอากาศลดลง ส่งผลให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าและง่วงนอน ประกอบกับความชื้นที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในให้คงที่

แสงน้อยก็ง่วงนอนได้

Dr. Darius Loghmanee (ดร. ดาริอัส โลห์มานี) ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับที่ Advocate Christ Medical Center และ Advocate Children’s Hospital กล่าวว่า “สภาพแวดล้อมรอบตัวช่วยให้เรานอนหลับหรือตื่นได้ดีขึ้น หากเราเคยชินกับการนอนหลับในความมืดสนิท การจะนอนหลับในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพออาจเป็นเรื่องยาก ในทางกลับกัน หากเราเคยชินกับการตื่นนอนในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ การจะนอนหลับในที่มืดก็อาจเป็นเรื่องยากเช่นกัน ไม่ว่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลหรือสภาพอากาศ”

ในสมองของเรามีต่อมเล็กๆ ที่เรียกว่า “ต่อมไพเนียล” ซึ่งจะทำงานเหมือนนาฬิกาตัวหนึ่ง ต่อมนี้จะผลิตฮอร์โมนที่ชื่อว่า “เมลาโทนิน” ออกมาเมื่อรอบๆ ตัวเรามืด เลยมีคนเรียกเมลาโทนินว่า “ฮอร์โมนแห่งความมืด” ต่อมไพเนียลมีความฉลาดมาก เมื่อไหร่ที่มีแสงสว่าง มันจะผลิตเมลาโทนินน้อยลง แต่เมื่อไหร่ที่มืด มันจะผลิตเมลาโทนินเยอะขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีเมลาโทนินในเลือดน้อยตอนกลางวัน แต่มีเยอะตอนกลางคืน

ปกติแล้ว เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกดิน ร่างกายเราจะเริ่มผลิตเมลาโทนินขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรารู้สึกง่วงค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมลาโทนินจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดคืน โดยจะมากที่สุดประมาณ 7 ชั่วโมงหลังพระอาทิตย์ตก พอถึงเช้า เมลาโทนินจะหายไปเกือบหมด เพราะแสงแดดจะมาบอกให้ร่างกายหยุดผลิตเมลาโทนิน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาฝนตกเราถึงง่วง เมื่อฝนตกแล้วมีท้องฟ้ามืดครึ้ม ต่อมไพเนียลจะคิดว่า แสงน้อยลงแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนแล้ว เลยเริ่มผลิตเมลาโทนินออกมาเยอะขึ้น ทำให้เรารู้สึกง่วงและอยากนอนมากกว่าปกติ

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมลาโทนินในร่างกายเราจะเปลี่ยนไปตามอายุด้วย เด็กทารกจะเริ่มมีเมลาโทนินเมื่ออายุประมาณ 3-4 เดือน เด็กเล็กอายุ 1-3 ปีจะมีเมลาโทนินเยอะที่สุด แต่พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วคนแก่ เมลาโทนินจะลดลงเรื่อยๆ คนอายุ 70 ปีจะมีเมลาโทนินเหลือแค่ 1 ใน 4 ของคนหนุ่มสาว

ดังนั้น ครั้งหน้าถ้าเรารู้สึกง่วงเวลาฝนตก ไม่ต้องแปลกใจเลย เป็นเรื่องธรรมดาที่ร่างกายเราตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่างรอบตัว เมลาโทนินทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณบอกร่างกายว่า “ตอนนี้มืดแล้ว ถึงเวลาพักผ่อน” และช่วยปรับนาฬิกาชีวภาพภายในให้ทำงานสอดคล้องกับรอบ 24 ชั่วโมงของแต่ละวัน

ไอออนลบ: โมเลกุลเล็กๆ ที่ทำให้เราสดชื่นหลังฝนตก

เวลาหลังฝนตก เราจะรู้สึกอากาศสดชื่น เคยเป็นเหมือนกันไหมครับ ความรู้สึกหลังฝนตกแล้วอากาศจะดูสดชื่นนั้น เกิดจากเมื่อหยดน้ำในเมฆสะสมตัวและค่อยๆ เคลื่อนตัวลงสู่พื้นดินเนื่องจากแรงโน้มถ่วง จะเกิดเป็นตัวเก็บประจุขนาดยักษ์ระหว่างเมฆและพื้นดิน เมื่อความแรงของสนามไฟฟ้าระหว่างทั้งสองเกินความแข็งแรงเฉพาะของอากาศ จะเกิดการปลดประจุและทะลุผ่านอากาศ ในระหว่างกระบวนการปลดประจุของฟ้าผ่า อนุภาคที่มีประจุจะกระแทกโมเลกุลอากาศโดยรอบ ทำให้โมเลกุลเกิดไอออไนเซชันและเกิดไอออนลบขึ้น ในขณะที่ฟ้าผ่า จะมีไอออนลบเกิดขึ้นหลายร้อยล้านตัว นี่คือเหตุผลที่ผู้คนรู้สึกว่าอากาศสดชื่นและสะอาดหลังฝนตก ไม่เพียงแต่เป็นเพราะฝนเพิ่มความชื้นในอากาศเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่าคือความเข้มข้นของไอออนลบในอากาศเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เวลาฝนตกจะเติมไอออนลบในอากาศ ซึ่งเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่มีประจุไฟฟ้าและสามารถส่งผลกระทบที่แข็งแกร่งต่ออารมณ์และสุขภาพจิตของเรา ยิ่งฝนตกหนักเท่าไร ความเข้มข้นของไอออนลบก็จะสูงขึ้นเท่านั้น ไอออนลบเป็นโมเลกุลในอากาศที่มีอิเล็กตรอนพิเศษ ทำให้มีประจุลบ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในธรรมชาติ โดยปกติจะอยู่รอบๆ น้ำที่เคลื่อนไหว เช่น ฝน น้ำตก หรือคลื่นในมหาสมุทร เมื่อโมเลกุลน้ำชนกันและแตกออกในการปะทะของคลื่นหรือน้ำตกที่พุ่งลงมา ไอออนลบจะถูกผลิตขึ้น

ข้อมูลจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าไอออนลบสามารถมีผลกระทบที่แข็งแกร่งต่ออารมณ์และการรับรู้ของเรา อนุภาคที่มีประจุลบเหล่านี้ถูกแสดงให้เห็นว่าเพิ่มระดับของเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมน “ความรู้สึกดี” ในสมองที่ช่วยยกระดับอารมณ์และลดความเครียด โดยทั่วไปแล้ว ไอออนลบจะเพิ่มการไหลของออกซิเจนไปยังสมอง ส่งผลให้มีความตื่นตัวสูงขึ้น ลดความง่วงนอน และมีพลังงานทางจิตมากขึ้น

การทบทวนวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับไอออนลบในปี 2013 ที่เผยแพร่ระหว่างปี 1957 ถึง 2012 พบว่าไอออไนเซชันไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิตทั่วไปของผู้คน แต่พบผลกระทบที่น่าสังเกตในผู้ที่มีอาการซึมเศร้า การได้รับไอออนลบนานหลายชั่วโมงหรือมากกว่านั้นอาจลดอาการของภาวะซึมเศร้า ผู้ที่มีอาการซึมเศร้าเรื้อรังและโรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (SAD) จะได้คะแนนที่ต่ำลงในแบบสำรวจอาการซึมเศร้าของพวกเขา การรับไอออนลบในระยะเวลาสั้นกว่า (ประมาณ 30 นาที) เพียงพอที่จะช่วยผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก SAD เท่านั้น

การทบทวนวรรณกรรมไอออไนเซชันในปี 2018 ยังพบผลกระทบของไอออนลบต่อสุขภาพของมนุษย์หลายด้าน นักวิจัยมองย้อนไปที่การศึกษา 100 ปีและพบหลักฐานว่าไอออนลบสามารถฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อราที่เป็นอันตราย เช่น E. coli, Staphylococcus aureus และแบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรค

วิธีที่ดีที่สุดในการรับไอออนลบคือไปยังที่ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ออกไปข้างนอกในขณะที่ฝนตก เยี่ยมชมน้ำตก ลำธาร ริมแม่น้ำ หรือชายหาด นั่งข้างน้ำพุตกแต่ง ซึ่งมักพบได้ในสวนสาธารณะ บริเวณห้างสรรพสินค้า และล็อบบี้ของอาคารสำนักงานและโรงแรม

แม้ว่าการวิจัยบางส่วนจะสนับสนุนผลกระทบเชิงบวกของการสัมผัสไอออนลบ แต่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนการบำบัดด้วยไอออนลบ โดยรวมแล้ว มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่ชี้ให้เห็นว่าไอออนลบจากฝนสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี ระดับไอออนลบที่สูงมากในอากาศอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในบุคคลที่มีภาวะปอดอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคหอบหืด

ฝนตกทำให้คนเหงาจริงหรือไม่?

จากข้อมูลงานวิจัยและบทความจากหลายแหล่งที่น่าเชื่อถือ พบว่าฝนตกสามารถทำให้คนรู้สึกเหงาได้จริง โดยมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาสนับสนุน ดังนี้

  • ภาวะซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder: SAD) ฝนตกและอากาศครึ้มทำให้แสงแดดลดลง ส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้รู้สึกง่วงและซึมเศร้าไปพร้อมกัน ในขณะเดียวกัน ฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งช่วยให้อารมณ์ดี จะลดลงในช่วงที่แสงแดดน้อย ทำให้ความรู้สึกเหงาและเศร้าเพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบของสภาพอากาศต่ออารมณ์ ในงานวิจัยพบว่าคนจำนวนมากมีอารมณ์แปรปรวนและรู้สึกอ่อนเพลียในช่วงฝนตกหรืออากาศไม่เป็นใจ เช่น รู้สึกเหงา เศร้า หรือดาวน์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ อุณหภูมิที่ลดลงและความชื้นสูง ยังทำให้ร่างกายทำงานช้าลง ส่งผลให้รู้สึกเฉื่อยชาและเหงาหงอย
  • ผลทางจิตวิทยาและสังคม ฝนตกมักทำให้กิจกรรมกลางแจ้งลดลง ผู้คนออกไปพบปะสังสรรค์น้อยลง ทำให้เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและอยากมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ นอกจากนี้ยังพบว่ามีการโพสต์ข้อความหรือภาพแสดงความเหงาในโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้นในวันที่ฝนตก
  • ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละบุคคล แม้ว่าฝนจะส่งผลต่ออารมณ์และความรู้สึกเหงาได้จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับผลกระทบเท่ากัน บางคนอาจไม่รู้สึกเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขณะที่กลุ่มที่เรียกว่า “Rain Haters” หรือคนที่ไม่ชอบฝน จะมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยที่รู้สึกเหงาหรือเศร้ามากขึ้น

จากความรู้สึกและข้อมูลจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความวิเศษของฝน เป็นเรื่องที่มาจากคำถามของใครหลายคน เราอาจจะได้ยินเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับฝน และอารมณ์โทนเศร้า เหงา อกหัก แม้แต่การทำงานในสำนักงานเมื่อเวลาฝนตก ทำให้รู้สึกไม่สดชื่น แต่ก็มีเป็นดาบสองคมทำให้เราเฉื่อยชามากขึ้น ฉะนั้นคำตอบของฝนมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนเป็นปัจจัยแรกที่มีอิทธิพลโดยตรง เมื่อแสงลดลง และครึ้มในวันฝนตก ร่างกายจะผลิตเมลาโทนินเพิ่มขึ้นและเซโรโทนินลดลง ส่งผลให้เรารู้สึกง่วง ในขณะเดียวกัน เสียงฝนเ “Pink noise” ซึ่งคล้ายกับ “White noise” ช่วยปกปิดเสียงรบกวนอื่นๆ จากฝนที่ตกกระทบหลังคาและพื้นผิวต่างๆ ช่วยกระตุ้นการผ่อนคลายและเตรียมร่างกายเข้าสู่ภาวะพักผ่อน ไอออนลบที่เกิดขึ้นจากกระบวนการฟ้าผ่าและการปะทะของหยดฝนมีบทบาทในการปรับปรุงคุณภาพอากาศและส่งผลดีต่ออารมณ์ แม้ว่าผลกระทบนี้จะยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม แต่หลักฐานเบื้องต้นชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการช่วยลดอาการซึมเศร้าและเพิ่มความสดชื่น นอกจากนี้ ปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ความดันอากาศที่ลดลง ความชื้นที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่าง ล้วนมีส่วนทำให้ร่างกายต้องปรับตัวและทำงานหนักขึ้น

การใช้ประโยชน์จากความผ่อนคลายที่ฝนนำมาในการพักผ่อนและเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ รวมถึงการป้องกันและจัดการกับความรู้สึกเศร้าหรือซึมเศร้าในวันที่อากาศไม่เป็นใจ จากข้อมูลการศึกษาที่ค้นพบ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันซับซ้อนระหว่างธรรมชาติและร่างกายมนุษย์ที่ยังคงมีความลึกลับและน่าค้นหาอีกมากมาย โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและต้องการเข้าใจผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจของมนุษย์อย่างแท้จริง สำหรับใครที่นอนหลับยาก และไม่ต้องทำสิ่งการงานอื่นใด ลองใช้โอกาสช่วงที่ฝนตกพักผ่อนกันครับ ฤดูฝนนั้นก็มีปัจจัยความเสี่ยงตามมาอีกมากมาย อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ


ข้อมูลอ้างอิง

  • AHC Health News. (2023, March 29). Why do rainy days make you tired? https://www.ahchealthenews.com/2023/03/29/rainy-day-make-tired
  • Beartai. (มปป.). ฝนทำให้คนเหงาหรือคิดไปเอง. สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2568, จาก https://www.beartai.com
  • Creative Thailand. (มปป.). เหตุผลที่ ‘เสียงฝน’ ทำให้เราง่วงและหลับดี. สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2568, จาก https://www.creativethailand.org
  • Hydrovoltage. (มปป.). The effects of negative ions on health and mood. สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2568, จาก https://www.hydrovoltage.com
  • IFLScience. (2024, February 16). Why does rain make you sleepy? https://www.iflscience.com/why-does-rain-make-you-sleepy-72958
  • Researcher Thailand. (มปป.). งานวิจัยเผย : ฝนตกทำให้คนเหงา เป็นเรื่องจริงไม่ได้มโนไปเอง. สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2568, จาก https://www.researcherthailand.com
  • Right as Rain by UW Medicine. (2024, January 4). What is pink noise? https://rightasrain.uwmedicine.org/body/rest/pink-noise

นักสื่อสารสุขภาวะดิจิทัล และ Data Journalism