Author: ศุภกิตติ์ คุณา

  • ตำบลร่องเคาะ ถอดบทเรียนและมอบเกียรติบัตร คนงดเหล้าและ ลด ละ เลิกบุหรี่

    ตำบลร่องเคาะ ถอดบทเรียนและมอบเกียรติบัตร คนงดเหล้าและ ลด ละ เลิกบุหรี่

    องค์การบริหารส่วนตำบลร่องเคาะ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง และคณะกรรมการดำเนินโครงการฯ พร้อมผู้นำท้องถิ่น กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าส่วนราชการ  ผู้แทน อสม. เยาวชน  ประชาชนชาวตำบลร่องเคาะ และผู้แทนจากศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคเหนือตอนบน

    เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2565 องค์การบริหารส่วนตำบลร่องเคาะ ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของปัญหาที่เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการเกิดอุบัติเหตุจราจร  ตลอดจนการบริโภคบุหรี่/ยาสูบในพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาสำคัญยิ่งที่ส่งผลกระทบ ต่อการพัฒนาและอนาคตของชุมชนและท้องถิ่นส่งผลให้ปัญหาต่างๆ ที่ตามมานั้น ก็จะมีแนวโน้มสูงขึ้น มีความรุนแรงขึ้นตามยุคสมัย โดยเฉพาะสังคมในปัจจุบันประชาชนมีความสัมพันธภาพในครอบครัวชุมชนและสังคมลดลงอย่างเห็นได้ชัด การเคารพนับถือผู้สูงอายุลดลง ความเป็นเพื่อความเห็นอกเห็นใจลดลง สังคมแบบพึ่งพาอาศัยกันจะลดลงไปจนอาจจะหายไปจากสังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ต่างคนต่างอยู่ ยิ่งถ้ามีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเสรีไม่มีการควบคุมก็จะ ทำให้ประชาชนขาดสติในการดำรงชีวิต ขาดบุคลากรที่เป็นกำลังและสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นในอนาคต จึงได้จัดทำโครงการสร้างเครือข่ายคนงดเหล้า ลด ละ เลิกบุหรี่/สูบบุหรี่ตำบลร่องเคาะ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 1,594 ราย และมีผู้ที่สามารถปฏิบัติตนตาม และผ่านการประเมิน จากคณะกรรมการโครงการจำนวน 1,407 ราย คิดเป็นร้อยละ 88.26 และมีผู้ที่เลิกเหล้าตลอดชีวิต จำนวน 152 คน

    นางวณิชดา  ไชยศิริ นายอำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปางกล่าวว่า ปัญหาที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ทั้งในทางเศรษฐกิจ และสังคม จนทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันป้องกันและแก้ไข ขอชื่นชมและแสดงความยินดี กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ที่สามารถปฏิบัติตนได้ตามโครงการทุกท่าน ที่มีจิตใจมั่นคงและแน่วแน่ในการงดการดื่มเหล้าและลด ละ เลิก บุหรี่/ยาสูบ  ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา จนสามารถผ่านการมาได้ สิ่งที่ทุกท่านจะต้องสานต่อคือ การส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนให้เป็นพื้นที่ปฏิบัติการ เน้นพัฒนาศักยภาพชุมชน และขยายผลการดำเนินงานการลดปัจจัยเสี่ยงจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านโครงการ “ชุมชนคนสู้เหล้า” ที่ดำเนินการต่อเนื่องมา จนเกิดเป็นรูปธรรม สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นกลุ่มชมรมคนหัวใจเพชร ที่สามารถเลิกดื่มเหล้าได้สำเร็จมาช่วยรณรงค์ต่อในชุมชนได้ และส่งเสริมให้มีการพึ่งพาตัวเองผ่านการฝึกอาชีพให้มีรายได้

  • รันลัดโต้ง งานวิ่งที่กระตุ้นสุขภาพคนในชุมชนสันป่าตอง

    รันลัดโต้ง งานวิ่งที่กระตุ้นสุขภาพคนในชุมชนสันป่าตอง

    ก่อนสถานการณ์โควิด-19 เทรนการรักสุขภาพได้รับความนิยมกันมากขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมการวิ่ง ซึ่งเป็นต้นทุนที่สวมรองเท้าผ้าใบก็สามารถออกไปเดินวิ่งได้ทันที

    ขึ้นเหนือส่งท้ายฤดูฝนที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ พาไปวิ่งในงาน “รันลัดโต้ง” คือ งานวิ่งที่จัดขึ้นมาเพื่อตอบสนองชุมชนเป็นหลัก โดยเป็นตัวกระตุ้นการรักสุขภาพคนในชุมชน และคนนอกพื้นที่ให้เขามามีส่วนร่วมในชุมชน และชมความงามของเส้นทางวิ่งในอำเภอสันป่าตอง แม้จะถูกพักช่วงโควิด-19 ไป การกลับมาในปี 2565 ของรันลัดโต้ง ถือว่าเป็นงานที่กระตุ้นการออกกำลังกายของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี

    “รันลัดโต้ง” ชื่องานบ่งบอกถึงความชนบทผสมสากล รัน (Run) มาจากภาษาอังกฤษ แปลว่า วิ่ง ส่วน ลัดโต้ง ก็คือ ลัดผ่านทุ่งนา โดยรวมก็คือวิ่งผ่านทุ่งนานั่นเอง รูปแบบของงานนั้นถูกออกแบบและวางแผนผสมผสานงานศิลปะ เพื่อให้สอดคล้องกับชุมชน ในพื้นที่ และความเป็นทุ่งนาที่เป็นจุดขายของงาน

    ทุ่งนา หลายร้อยไร่ ในตำบลสันกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ กลายเป็นแรงกระตุ้นให้คนนอกพื้นที่ เข้ามาออกกำลังกายชมความสวยงาม และส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ผ่านกิจกรรมรันลัดโต้งได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังทำให้หลงไหล กับบรรยากาศงานวิ่งที่ไม่เหมือนที่อื่น

    แนวคิดของงานนี้จุดเริ่มต้นมาจากคุณประยูร หงษาธร หรือพี่เด่น สำนักพิมพ์ปล่อย ที่ย้ายมาอยู่เฮือนชมออน ร่วมกับพี่เก่ง เกียรติมงคล เรือนสุข เจ้าบ้านเฮือนชมออน ที่ชวนกันเริ่มต้นคิดกิจกรรมขึ้นมาในชุมชน ด้วยความที่ตัวเองนั้นชอบกิจกรรมการวิ่งอยู่แล้ว จึงวางแผนชวนกันทำงานวิ่ง รันลัดโต้งขึ้นมา โดยเริ่มชักชวนเพื่อนๆกลุ่มนักวิ่งในพื้นที่ด้วยกันมาทำงานวิ่งสนุกๆกัน ซึ่งในปี พ.ศ.2561 ซึ่งเป็นการจัดครั้งแรก ซึ่งในปีนั้นกิจกรรมยังไม่กว้างขวางหรือเป็นที่รู้จักมากนัก

    งานศิลปะกับการออกแบบเหรียญรางวัลงานวิ่ง

    เหรียญรางวัล และ ถ้วยรางวัล ที่เป็นศิลปะมาจากเซรามิก ผลงานของศิลปิน คุณภูริดล พิมสาน แห่ง Have A Hug Studio ที่ชื่นชอบในเรื่องของการวิ่ง ได้ถูกชักชวนเข้ามาร่วมงานกันตั้งแต่ครั้งแรก โดยเหรียญรางวัลนั้นจะออกแบบเป็นรูปสัตว์ ซึ่งถือว่าอยู่ในแนวคิดของ รันลัดโต้ง

    เหรียญรางวัลเซเรามิก รันลัดโต้ง

    “พอดีว่ามีเพื่อนเป็นคนจัดงานวิ่ง รันลัดโต้ง เลยเข้ามาเสนอทำเหรียญรางวัลให้ โดยใช้ดินปั้นเป็นเหรียญ ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน แล้วเอาเงินไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลชุมชน ผมพบว่าจริงๆ แล้วคนเขาเข้าใจนะ เลยเป็นที่มาของงานที่ผมจัดเอง Art Run To The Wild #วิ่งควายควาย ด้วยผมเป็นคนชอบวิ่งและคนทำงานศิลปะ เลยเกิดความคิดว่า จะทำอย่างไรให้คนทำงานศิลปะ หันมาดูแลสุขภาพ มันคนละขั้วกันเลยนะ คนทำงานศิลปะจะกินเหล้า สูบบุหรี่ นอนดึก ผมเลยเอา Art ไปรวมกับ Run คราวนั้นผมก็ปั้นเหรียญปั้นถ้วยรางวัลเองด้วย มีคนมาวิ่งตั้งหนึ่งพันห้าร้อยคน”

    ภูริดล พิมสาน ในบทสัมภาษณ์ The Cloud

    จุดเริ่มต้นจากรันลัดโต้ง ถ้วยรางวัลเซรามิก เริ่มมีชื่อเสียงขยายออกไปในวงการวิ่ง ภูริดลมีโอกาสทำถ้วยและเหรียญรางวัลให้กับงานวิ่งระดับประเทศหลายงาน เช่น The Mall Korat Marathon 2022, กระบี่มาราธอน 2020, กระบี่เทรล 2020 จันทบุรีซีนิคฮาร์ฟมาราธอน 2020, วิ่งพักตับ จ.พะเยา ฯลฯ

    โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพในท้องถิ่น ต่อยอดให้คนชุมชนออกกำลังกาย

    กิจกรรมวิ่งในแต่ละปี รันลัดโต้ง จะหักค่าใช้จ่าย และมอบให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านห้วยส้ม อ.สันป่าตอง ซึ่งเป็นหน่วยสาธารณสุขในพื้นที่การจัดงาน เพื่อสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับประชาชนในพื้นที่ โดยในปี 2563 กิจกรรมเริ่มขยายเป็นวงกว้าง เริ่มรู้จักมากขึ้น หลายหน่วยงานเริ่มเข้ามาสนับสนุนการจัดงานทั้งภาครัฐและเอกชน

    นางพวงเพชร กองแก้ว นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านห้วยส้ม ร่วมกับชุมชนในเขตรับผิดชอบ และ อสม. ในพื้นที่ ได้นำกิจกรรม รันลัดโต้ง เป็นกิจกรรมกระตุ้นให้คนในชุมชนหันมารักษาสุขภาพกันอีกครั้ง หลังจากที่พักเว้นช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยจัดกิจกรรม รันลัดโต้ง ครั้งที่ 4 นอกจากกระตุ้นคนในชุมชนแล้ว ยังจัดเพื่อหางบประมาณ สมทบทุนสร้างคลินิกโรคระบบทางเดินหายใจ (ARI Clinic) เพื่อให้บริการแก่ประชาชนชาวตำบลสันกลาง และประชาชนบริเวณใกล้เคียง

    การที่เห็นคนในพื้นที่ ต่างตื่นตัวกับการจัดงานวิ่งครั้งนี้ ต่างคนก็ออกซ้อมกันทุกๆเย็นของวัน ก่อนงานจะเริ่ม แม้ไม่ใช่งานใหญ่โตแต่การมีส่วนร่วมของชุมชนถือว่าเข้มแข็งเลยทีเดียว โดยเฉพาะ อสม. ในแต่ละหมู่บ้าน คอยเชื่อม และกระตุ้นการออกกำลังกาย กลายเป็นกระแสระดับอำเภอ และในจังหวัด

    งานจบ แต่วิ่งยังไม่จบ

    แม้ว่ากิจกรรมรันลัดโต้ง ครั้งที่ 4 จะจบลงไปแล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนหลังจากนี้ คือ คนในชุมชนสวมเสื้องาน ออกกำลังกาย ทั้งเดินและวิ่ง ตามเส้นทางของกิจกรรม ถือเป็นความสำเร็จที่เกิดความต่อเนื่องการออกกำลังกายของคนในชุมชน และขยายผลไปยังคนในพื้นที่ข้างเคียงหันมาออกกำลังกายมากขึ้น

    ภาคีและเครือข่าย

    กลายเป็นงานประจำปีเลยก็ว่าได้ หากรันลัดโต้ง คือจุดมุ่งหมายเดียวกัน และการเติบโตของงานวิ่งที่เป็นขวัญใจของนักวิ่ง ทั้งรูปแบบการจัดงาน วิวทิวทัศน์ทุ่งนาเส้นทางวิ่งที่สวยงาม รวมถึงการมีส่วนร่วมในชุมชนที่เข้มแข็ง การตอบรับของภาคีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยแต่ละหน่วยงานสนับสนุนตามความถนัดขององค์กร เพื่อหนุนเสริมการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

    อาหารสำหรับนักวิ่ง จากชุมชน
    ชุมชนช่วยกัน ทำความสะอาด ตัดหญ้า เส้นทางวิ่ง

    อีกทั้งต้องขอขอบคุณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), ศูนย์ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคเหนือตอนบน, สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย, องค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง, ฝ่ายปกครอง-ทีมกู้ภัย อบต.สันกลาง, อสม.รพ.สต.บ้านห้วยส้ม, สาธารณสุขอำเภอสันป่าตอง, เฮือนชมออน, เสื้อสวยๆจาก ร้านเสื้อจิปาถะ (JPT Sport), Have a Hug Studio, กราฟิกสวยๆจากทีมเพจ SANPATONG CLUB, ชาวบ้านแม่กุ้งบก รวมถึงภาคีอื่นๆ ที่ร่วมกันทำให้กิจกรรมครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

    ทีมงาน รันลัดโต้ง
  • ตำบลหัวเสือ จังหวัดลำปาง ทบทวนบทเรียนการดำเนินงานงดเหล้าเข้าพรรษา

    ตำบลหัวเสือ จังหวัดลำปาง ทบทวนบทเรียนการดำเนินงานงดเหล้าเข้าพรรษา

    วันที่ 6 พฤศจิกายน 2565 เครือข่ายประชาคมงดเหล้าจังหวัดลำปาง ร่วมกับตำบลหัวเสือ อ.แม่ทะ จัดประชุมชมรมคนหัวใจเพชรตำบลหัวเสือ โดยมีนายชาญ อุทธิยะ ประชาคมงดเหล้าจังหวัดลำปาง นายเอกวิทย์ กามาด กำนันตำบลหัวเสือ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ประธานสภาพ.อบจ.และคนงดเหล้า พบว่าสถานการณ์ดื่มเหล้าลดลงมาก แต่หลังเลิกงานยังมีอยู่ หลังพรรษากลับดื่ม ช่วงพรรษามีความสงบ ไม่มีเสียงรบกวนกลางคืน จุดแข็งมีผู้นำเป็นแบบอย่าง ครอบครัวงดเหล้า มีเยาวชนร่วมเป็นทีมงาน มีการรณรงค์โดยชมรม แห่เทียนงดเหล้าเข้าพรรษา โอกาสสำคัญเข้าถึงคนมีใจ ลงนามงดเหล้าเข้าพรรษา ความห่วงใยปัญหาการทบทวนบทเรียนการดำเนินงานที่ผ่านพบว่า มีผี 3 ตัว เหล้า กระท่อม กัญชา

    นายเอกวิทย์ กามาด กำนันตำบลหัวเสือ และประธานสภาฯ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ได้แจ้งหัวข้อประชุมอำเภอและหมู่บ้าน เยี่ยมติดตามการดื่มเหล้า ตามข้อตกลงห้ามขาย แนะนำ เคยมีคนติดเหล้า 6 คน (เหลือ 1) การฆ่าตัวตาย เคยมีปีเดียว 2 คน และไม่มีหลายปีแล้ว ปัญหาลดลงมาก มีรอยยิ้ม ช่วยเหลือตนเองปลูกผักกินเอง ให้ความสนใจความเป็นอยู่ และอยากให้มีกฎระเบียบของชุมชนและ เงื่อนไขของชุมชน เช่น งานศพปลอดเหล้า มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ระดับบุคคล โดยมีแรงจูงใจให้สามารถเลิกสุราได้สำเร็จ คือ มีปัญหาชีวิต หลายด้านพร้อมกัน ปัญหาสุขภาพ โดยมีบุคคลที่รักเป็นแรงจูงใจ ไม่ อยากมีปัญหาครอบครัว ตลอดจน ชุมชนสนับสนุนและให้โอกาส

    ข่าว : ศูนย์ข่าวสุขภาวะ ภาคเหนือตอนบน

  • เชียงใหม่แถลงข่าวงานยี่เป็ง 2565 “ความสุขแห่งสายน้ำ ปิงนครา มหานที”

    เชียงใหม่แถลงข่าวงานยี่เป็ง 2565 “ความสุขแห่งสายน้ำ ปิงนครา มหานที”

    เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดพิธีแถลงข่าวงานประเพณีเดือนยี่เป็งเชียงใหม่ ประจำปี 2565 ณ บริเวณข่วงประตูท่าแพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขแห่งสายน้ำ ปิงนครา มหานที”

    เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2565 สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ภายใต้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมแถลงข่าวสนับสนุนการจัดงานประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ พ.ศ. 2565 “ความสุขแห่งสายน้ำ ปิงนครามหานที” ณ ข่วงประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่

    งานลอยกระทงหรือยี่เป็งเชียงใหม่ พร้อมแล้วที่จะกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่, นายอัศนี บูรณุปกรณ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ เปิดการแถลงข่าวถึงการจัดงานประเพณีเดือนยี่เป็งเชียงใหม่ ประจําปี 2565 โดยเชิญชวนร่วมสืบสานงานประเพณียี่เป็งเชียงใหม่ พบกับความอลังการของขบวนแห่กระทงใหญ่ การแสดงพลุเฉลิมพระเกียรติ การแสดงม่านน้ำท่ามกลางแสงสีแห่งรัตติกาล การประกวดโคมแขวนล้านนา และบรรยากาศความผูกพันของผู้คนสองฝั่งลำน้ำปิง ร่วมแอ่วงานประเพณีเดือนยี่เป็งได้ทั่วทุกมุมของเมืองเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2565

    นายวิษณุ ศรีทะวงศ์ ผู้จัดการแผนนโยบายสาธารณะเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึง “การรณรงค์ส่งเสริมการงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วง ประเพณีเดือนยี่เป็งเชียงใหม่” ที่ทาง สสส. ร่วมสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงค่านิยมงานบุญประเพณีปลอดเหล้าในเมืองเชียงใหม่ ตลอดจนมาตรการทางสังคม ที่ควรมุ่งสร้างบรรทัดฐานการใช้ชีวิตใหม่ หรือ New Social Norm กว่า 15 ปี ไม่ดื่มไม่ขาย ในพื้นที่สาธารณะในงานบุญประเพณี มองเห็นการจัดการในท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็ง และสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุ ลดประทัดยักษ์ รวมถึงการขยะและเพลิงไหม้จากเรื่องโคมลอย ที่ใช้ประเพณีวัฒนธรรมสร้างพื้นที่ปลอดภัย เข้ามาทดแทนและสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงาม

    สำหรับในงานยี่เป็ง เชียงใหม่ งาน “ต๋ามผางปะตี้ดส่องฟ้าฮักษาเมือง” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า และ สสส. ยังดำเนินต่อเนื่องมาถึงปีที่ 11 แม้ว่าที่ผ่านมา เชียงใหม่จะถูกพักช่วงการจัดกิจกรรมจากสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าในปีนี้จะกลับมายิ่งใหญ่ งานต๋ามผางปะตี้ดฯ ถือเป็นกิจกรรมที่ส่งต่อวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของเชียงใหม่ ที่เปลี่ยนค่านิยมเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ประทัดยักษ์และลดการปล่อยโคมลอย ซึ่งในวันเปิดงานมีการเทศน์อาณิสงฆ์ผางปะตี้ด และฟ้อนเทียน กับช่างฟ้อนหลายร้อยคน ซึ่งล้วนมาจากการสอนและอบรมจากเครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยการอบรมฟ้อนเล็บและฟ้อนเทียนนั้นได้เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจร่วมสืบสานประเพณีร่วมกับชุมชนในเขตเมือง และสถาบันการศึกษาทั้งในและรอบนอกตัวเมือง นักท่องเที่ยวสามารถหาชมการฟ้อนเทียนกว่าร้อยคน ตั้งแต่ เวลา 18:00 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ณ ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ และชมความงามแสงไฟผางปะตี้ดได้ที่แจ่งรอบคูเมืองเชียงใหม่

  • ประเพณีแข่งเรือยาวหัวพญานาค เอกลักษณ์แห่งเมืองน่าน อายุร่วม 200 ปี

    เรือหัวพญานาค เอกลักษณ์แห่งเมืองน่าน อายุร่วม 200 ปี

    ภาพและเรื่องโดย ศุภกิตติ์ คุณา

    หากพูดถึง “ประเพณีการแข่งเรือ” เป็นวิถีชีวิตความผูกพันแห่งสายน้ำ และความเป็นอยู่ของชาวไทยในชนบท ถิ่นที่อยู่อาศัยใกล้แม่น้ำ ประเพณีแข่งเรือนั้น ปัจจุบันในประเทศไทยสามารถรับชมได้ตามชุมชนลุ่มน้ำของไทย ในบางพื้นที่จัดให้มีการแข่งขันการแข่งเรือจนกลายเป็นประเพณีสืบทอดกันมาแต่ยาวนาน

    ขึ้นเหนือไปที่เมืองน่าน ประเพณีการแข่งเรือชาวเมืองน่านนั้น สภาวัฒนธรรมจังหวัดน่าน ได้ระบุว่า การแข่งเรือของจังหวัดน่านมีความผูกพันกับ “พญานาค” โดยมีความเชื่อที่ว่า พญานาคจะปกป้องคุ้มครองโบราณสถาน วัดวาอารามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพสักการะ จึงขุดเรือยาวและตกแต่งหัวเรือและหางเรือตลอดจนลำเรือให้มีลักษณะคล้ายพญานาค ปีไหนมีภาวะฝนแล้ว ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล บรรพบุรุษชาวน่านก็จะนำเรือแข่งไปพายแข่งกัน ซึ่งเปรียบเสมือนกับพญานาคกำลังเล่นน้ำ เพื่อขอฝนและก็เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะว่าหลังจากนั้นฝนก็ตกลงมาจริงๆ

    ประเพณีแข่งเรือหัวพญานาคที่จังหวัดน่าน จะจัดขึ้นกันหลายอำเภอ แต่ที่จังหวัดน่านมีเอกลักษณ์ที่แต่งต่างกับพื้นที่อื่นคือ เรือที่นำมาแข่งขันนั้นเป็นเรือลักษณะเป็นหัวพญานาค หรือเรียกว่า “หัวโอ้” เป็นโอกาสอันดีที่ทางพวกเราได้ลงพื้นที่อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งเรือที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน

    แข่งเรือเมืองน่าน มีประวัติมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

    อาจารย์สง่า อินยา ปัจจุบันเป็นอุปนายกสมาคมเรือแข่งจังหวัดน่าน และรองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดน่าน ได้เล่าความเป็นมาให้กับพวกเราว่า จากการที่สืบค้นตามผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายท่าน ก็บอกว่า ตั้งแต่ท่านเกิดมา ท่านก็เห็นการแข่งเรืออย่างนี้มาตลอด ดังนั้นจึงไม่สามารถทราบแน่ชัดว่าได้ว่า การแข่งเรือเมืองน่านเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไร ก็ไม่ปรากฏหลักฐานบอกไว้ จากการบันทึกในประวัติศาสตร์เมืองน่าน จากหลักฐานการบันทึกเขียนไว้ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 5 ท่านย้ายเมืองจากเมืองปัว เมืองวรนคร ไปสู่เมืองน่านในปีนั้น พ.ศ.1902  พระยาการเมือง เจ้าเมืองวรนคร เมืองปัว ได้ใช้เรืออพยพขนย้ายผู้คนล่องมาตามลำน้ำน่านเพื่อสร้างเมืองใหม่ที่เมืองภูเพียง แช่แห้ง มาจากแม่น้ำน่าน ก็เลยเกิดว่าน่าจะต้องมีเรือแข่งกันขึ้นมา ทุกคนก็เลยมองไปที่เรือแข่งสร้างเรือแข่งขึ้นมา

    (ภาพจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน)

    ถ้าจากเอกสารอ้างอิงประวัติศาสตร์ที่ได้กล่าวถึง “นครน่าน” ซึ่งเป็นเมืองนครรัฐที่เมืองต่างๆ เข้ามาสวามิภักดิ์ถึง 57 เมือง โดยมีเจ้าผู้ครองนครสืบราชวงศ์ติดต่อกันถึง 64 พระองค์ นับตั้งแต่ราชวงศ์ภูคาเป็นปฐมสันตติวงศ์จนถึงราชวงศ์เติ๋นมหาวงศ์ ต้นตระกูล ณ น่าน เป็นราชวงศ์สุดท้าย ไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัดว่า เป็นเจ้าผู้ครองนครพระองค์ใด มีรับสั่งให้บรรดาเสนาอำมาตย์ทหารข้าราชบริพารไปตัดต้นตะเคียนที่ป่าขุนห้วยสมุน ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำที่อยู่ห่างจากอำเภอเมืองน่าน ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งเป็นต้นตะเคียนที่มีขนาดใหญ่มาก ว่ากันว่าถึงขนาดตอของต้นตะเคียนนั้น สามารถวางโก๊ะข้าว (สำรับข้าวสำหรับคนเหนือ) ได้ถึง 100 โก๊ะ ขุดรากตัดแล้ว ประชาชนต่างก็ช่วยกันชักลากออกมาจากป่า

    จากนั้นก็ลากเอาไม้ดังกล่าวนั้น ล่องมาเรื่อยๆจนถึงแม่น้ำน่านระยะทาง 30 กิโลเมตร เกิดเป็นรอยลากเป็นร่องน้ำขึ้นมา คือ แม่น้ำสมุน ในอำเภอเมืองน่านปัจจุบันนี้  และนำไม้ตะเคียน 1 ต้นมาขุด  ได้ 2 ลำ ตกแต่งเป็นเรือแข่งเมืองน่าน ตั้งชื่อว่า “เรือท้ายหล้า-ตาตอง” คำว่า ท้ายหล้า หมายถึง เรือที่ท้ายเรือยังทำไม่เสร็จ ตาตอง หมายถึง เรือที่มีตาทำด้วยทองเหลืองหรืออีกความหมายหนึ่ง คือมีตาของไม้ที่นำมาขุดเรือเป็นสีทองเหลือง เจ้าผู้ครองนครน่าน เลยประกาศให้เป็นรูปแบบของเรือเมืองน่าน โดยมีหัวเป็นพญานาค และหางเป็นหงส์ ตั้งแต่นั้นเป็นมาคนเมืองน่านก็สร้างเรือ เป็นแบบเรือแข่ง โดยปรากฏเป็นหลักฐานได้บันทึกไว้ตามฝาผนังวัดต่าง เช่น วัดภูมินทร์

    การจัดแข่งเรือประเพณีจังหวัดน่าน ปรากฏหลักฐานอ้างอิงได้ ตั้งแต่ พ.ศ.2460 เมื่อครั้งสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตฯ เสด็จตรวจราชการเมืองน่าน เจ้าผู้ครองนครน่านพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้านายฝ่ายเหนือและข้าราชการประจำเมืองจัดให้มีการแข่งขันเรือประเพณีให้ทอดพระเนตร เจ้ามหาพรหมสุรธาดาเจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าอุปราชพร้อมด้วยเจ้านายฝ่ายเหนือได้ลงไปฟ้อนในเรือลำที่ชนะเลิศด้วย หลังจากนั้นผู้ปกครองน่านในยุคต่อๆ มาได้สืบสานประเพณีการแข่งเรือนี้ซึ่งมีวิวัฒนาการและมีผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนและเพิ่มความสำคัญของการแข่งขันจนเป็นประเพณียิ่งใหญ่และเป็นเทศกาลสำคัญระดับชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณและพระกรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานถ้วยรางวัลการแข่งขันทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ เรือใหญ่ เรือกลาง และเรือเล็ก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวจังหวัดน่านอย่างยิ่ง

    ประเภทการแข่งเรือที่เมืองน่าน

    เมื่อสมัยก่อน การแข่งเรือนั้นจะมี เรือเล็ก ที่นั่งไม่เกิน 30 ฝีพาย, เรือกลาง 40 ฝีพายและเรือใหญ่ไม่เกิน 55 ฝีพาย ในสมัยนี้มีการปรับไปตามยุคสมัย เมื่อทุกคนอยากต้องการเอาชนะ ทำให้พื้นที่ของตัวเรือมีการปรับหัวเรือเล็กลงและน้ำหนักเบา จึงเกิดปัญหาขึ้น ทำให้ผู้ใหญ่ไม่ยอมไปนั่งแข่งเรือ หากไปนั่งแข่งเรือก็จะแพ้เด็ก และสู้เด็กไม่ไหว เพราะเด็กนั้นมีการฝึกซ้อม 2-3 เดือน ที่สนามแข่งเรือ อ.ท่าวังผา เลยสร้างขึ้นมาอีกสนาม คือ เรือเล็กเอกลักษณ์น่าน คือนั่ง 30 ฝีพาย แต่เอาเฉพาะผู้ใหญ่ที่อายุ 45 ปี ขึ้นไป มาแข่งกัน ปรากฏว่าเป็นที่ชื่นชอบ ชาวบ้านดูกันเต็มสองฝั่ง เพราะว่าเป็นเฉพาะผู้ใหญ่แข่งกัน ลูกหลานที่อยู่ทางกรุงเทพฯก็จะกลับบ้านเพื่อมาดู ส่วนลูกหลานอยู่แถวนี้ก็พากันมาดูมาดูพ่อแม่เข้าแข่งขัน  ก็เลยกลายเป็นสถานที่ที่รวมคนได้มากที่สุดอีกสนามหนึ่ง แล้วก็เขาชื่นชมก็เพราะตรงนี้ล่ะครับเพราะว่าตรงนี้ต่อไปน่าจะเอาผู้ใหญ่ที่อายุ 45 ปีนี้มาแข่งกันโดยไม่มีเด็ก

    ส่วนการแข่งขันของเด็กนั้น ก็มีแนวทางประเภทเด็ก เราก็มีประเภทผู้สูงวัยอายุ 45 ปีขึ้นไป ก็เลยกลายเป็นเรื่องเอกลักษณ์น่าน เรือโบราณ เรือเร็ว ถ้าหากไม่คุมเรื่องหัวเรือ ไม่มีควบคุม หรือกำหนดเอกลักษณ์ของเรือ ก็เรียกว่า เรือโอเพ่น ก็คือเอาตามความอิสระ ส่วนการแข่งขันเรือหัวพญานาค ก็จะมีเอกลักษณ์ที่บังคับเกี่ยวกับเรือ หัวเรือจะต้องใหญ่เท่าไหร่ ขนาดไหนบ้าง ลำเรือต้องเป็นลักษณะแบบนี้ ส่วนเรือโบราณจะต้องเป็นตามลักษณะที่กำหนดขึ้นมา ก็เลยทำให้เรือที่เป็นโบราณกลับหวนฟื้นคืนมา ส่วนเรือหัวเล็กที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ก็เลยจะค่อยๆหายไป

    เรือแข่งเมืองน่าน อายุร่วม 200 ปี

    ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานร่วม 200 กว่าปี สิ่งที่เห็นชัดเจน ณ ตอนนี้ อาจารย์สง่า อินยา เล่าต่อเรื่องราวเรือที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ปัจจุบันยังทำการแข่งขันได้อันดับ 1 คือ “เรือเสือเฒ่าท่าล้อ” บ้านท่าล้อ อำเภอภูเพียง (ปี 2566) อายุ 207 ปี ซึ่งยังสามารถใช้แข่งได้ ถัดมาอันดับ 2 คือ “เสือเฒ่าบุญเรือง” บ้านบุญเรือง อำเภอเวียงสา เป็นเรือที่มีอายุเก่าแก่ของจังหวัดน่าน ปัจจุบัน (ปี 2566) มีอายุ 186 ปี  เรือลำนี้ขุดเมื่อปี พ.ศ.2380 โดยพระอธิการธนะวงค์ หรือครูบาธนะวงค์ เจ้าอาวาสวัดบุญเรือง (หรือวัดห้วยบงในสมัยนั้น) ขุดด้วยไม้ตะเคียนทองที่บริเวณป่าขุนแม่น้ำมวบ บ้านน้ำมวบ อ.เวียงสา เดิมชื่อ “เจ้าแม่บัวเขียว”, “บัวเรียว”,  “บัวลอย” เป็นเรือที่สวยงามและมีความเร็วจนหาคู่แข่งได้ยากในสมัยนั้น เรือที่เก่าแก่อันดับ 3 คือ “เรือคำแดงเทวี (นางดู่งาม)” บ้านนาเตา อำเภอท่าวังผา เรือคำแดงเทวี เป็นเรือไม้ประดู่อยู่ที่บ้านนาเตา อำเภอท่าวังผา อายุ 176 ปี และถัดมาอันดับ 4 คือ “เรือแม่คำปิ๋ว” บ้านนาหนุน อายุ 140 ปี และเรือเล็กเอกลักษณ์น่าน “เรือนางพญาคำปิ๋ว” บ้านดอนแก้ว อำเภอท่าวังผา อายุ 97 ปี

    พญานาค กับความเชื่อประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน

    เมื่อ “พญานาค” เป็นตัวแทนของความชุ่มชื้นเป็นตัวแทนของความชุ่มเย็น เป็นผู้บันดาลให้ฝนตก ให้น้ำ เมื่อชาวไร่ชาวนาไม่มีน้ำทำเกษตรกรรมไม่มีฝนฟ้าคะนองหรือไม่มีน้ำทำนา ก็จะเอาเรือลงไปเล่นน้ำเอาไปแข่งกันเหมือนกับว่าขอฝนมันเป็นที่อัศจรรย์ ถ้าเอาลงเรือแข่งกันเมื่อไหร่ ฝนจะตกลงมา เล่ากันว่าที่จังหวัดน่านหากต้องการฝนแล้วเอาพญานาคไปเล่นน้ำแล้ว ฝนก็จะตกลงมาจริงๆ อย่างเช่นการแข่งเรือทุกวันนี้ก็จะมีฝนตกลงมาด้วย ถ้าต้องการน้ำฝนตกแล้วก็ต้องใช้เรือหัวพญานาคลงแข่งขัน หากหัวเรือเป็นหัวอย่างอื่น จะไม่ให้เข้าร่วมแข่งขัน ฉะนั้นจึงต้องเป็นหัวพญานาคเพียงอย่างเดียว

    การแข่งเรือหัวพญานาค โดยเฉพาะที่อำเภอท่าวังผา ไม่มีใครทราบเหมือนกันว่าเริ่มต้นการแข่งขันครั้งแรกเมื่อไหร่ จนถึงปี พ.ศ.2518 ต้องหยุดการแข่งขันไป เพราะว่าการแข่งขันได้สร้างปัญหาทำให้คนแตกแยกกัน จึงมีการหยุดแข่งขันไปหยุดไปประมาณ 7 ปี และต่อมาในปี พ.ศ. 2525 นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ได้ช่วยกันฟื้นฟูประเพณีการแข่งเรือหัวพญานาคขึ้นมาใหม่ และนำเอากติกาของกรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาเป็นกติกาหลัก มีการถ่ายทำวีดีโอในการตัดสินหน้าเส้นชัย ลดการเกิดปัญหา และเป็นสิ่งที่ดี จากนั้นไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลยกลายเป็นวัฒนธรรมเป็นประเพณีที่ดีงามทำการแข่งเรือเรียกว่า “ประเพณีแข่งเรือพญานาคจังหวัดน่าน

    ในยุคสมัยนี้ อาจารย์สง่าให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเราว่า การใช้คำว่า การแข่งเรือพญานาคจังหวัดน่าน ในสถานที่ต่างๆจะต่อเติมท้ายชื่องานด้วยชื่อพื้นที่นั้น เช่น การแข่งเรือพญานาค อำเภอท่าวังผา เป็นต้น นักท่องเที่ยวเริ่มให้ความนิยทเข้ามาชมประเพณีแข่งเรือหัวพญานาคมากขึ้นเรื่อยๆ

    “คนน่านภูมิใจ๋ แข่งเฮือยิ่งใหญ่ บ่มีเหล้าเบียร์”

    ประเพณีแข่งเรือที่จังหวัดน่าน จึงเป็นที่ชื่นชมของชาวจังหวัดน่าน และเป็นที่ชื่นชมของบุคคลทั่วไปว่า ไม่มีกิจกรรมใดที่จะยิ่งใหญ่กว่าการแข่งเรือและมีคนมารวมตัวกันมากกว่าการแข่งกีฬาชนิดอื่น ดังนั้นจึงเป็นที่ภาคภูมิใจในการแข่งเรือเมืองน่าน และกลายเป็นการแข่งเรือปลอดเหล้า ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่าแข่งเรือจะต้องไม่กินเหล้า แต่ที่เมืองน่านสามารถทำให้เห็นแล้วว่าเป็นการแข่งเรือปลอดเหล้า ดั่งงานที่สนามแข่งขัน อ.ท่าวังผา เรียกว่า การแข่งเรือปลอดเหล้า เข้าหาพระธรรม สนามแข่งเรือแห่งนี้ ก็จะมีพระสงฆ์มาอนุโมทนาสาธุด้วย

    การแข่งเรือปลอดเหล้า ที่ จ.น่าน เห็นความชัดเจนเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างในพื้นที่ สมัยก่อนถ้ามีประเพณีแข่งเรือ โรงพยาบาลน่าน และโรงพยาบาลท่าวังผา จะต้องรวบรวมหมอ รวบรวมพยาบาลเต็มอัตราศึก เพราะจะเกิดการทะเลาะวิวาท ชกต่อยกัน และเกิดอุบัติเหตุ หามเข้าโรงพยาบาลกันตลอดเลย หลักจากที่ การแข่งเรือปลอดเหล้าแทบจะไม่ต้องเตรียมอะไร หากถามว่ามันมีการปลอดเหล้าจริงไหม ปัจจุบันต้องบอกได้เลยว่า ถึงไม่มีโครงการปลอดเหล้า ประเพณีแข่งเรือที่นี่ก็แข่งขันกันแบบไม่มีเหล้ากันได้ กลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของจังหวัดน่านในการแข่งเรือปลอดเหล้า ซึ่งเป็นที่มาของว่า “คนน่านภูมิใจ๋แข่งเฮือยิ่งใหญ่บ่มีเหล้าเบียร์” ซึ่งหมายถึง คนจังหวัดน่านภาคภูมิใจ งานประเพณีแข่งเรือที่ยิ่งใหญ่ ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


    Reference

    • พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน, คลังข้อมูลภาพเก่า https://www.finearts.go.th
    • อาจารย์ราเชนทร์ กาบคำ นายกสมาคมเรือแข่งจังหวัดน่าน
    • บทสัมภาษณ์ อาจารย์สง่า อินยา อุปนายกสมาคมเรือแข่งจังหวัดน่าน โดย ศุภกิตติ์ คุณา, แข่งเรือเอกลักษณ์หัวพญานาค อ.ท่าวังผา พ.ศ.2563
    • สภาวัฒนธรรมจังหวัดน่าน, ประเพณีท้องถิ่น