Author: เอ๋ รัชชานนท์

  • สสส.-สคล.ภาคตะวันตก และนายอำเภอปากท่อ ราชบุรี จัดวิ่งพักตับ ชวน ช่วย เชียร์ คนไทยพักตับ พักต่อ หวังสร้างเสริมสุขภาพคนไทย เน้นการป้องกันมากกว่ารักษา

    สสส.-สคล.ภาคตะวันตก และนายอำเภอปากท่อ ราชบุรี จัดวิ่งพักตับ ชวน ช่วย เชียร์ คนไทยพักตับ พักต่อ หวังสร้างเสริมสุขภาพคนไทย เน้นการป้องกันมากกว่ารักษา

    เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ณ สำนักสงฆ์เขาพระพุทธบาท ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จังหวัดราชบุรี นายสุทธิพงศ์  พุทธจันทรา นายอำเภอปากท่อ  เป็นประธานแถลงข่าว วิ่งพักตับ เข้าวัดฟังธรรม ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพื่อสิ่งแวดล้อม  จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และเครือข่ายงดเหล้าภาคตะวันตก และภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพ กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งกำลังใจให้ผู้เข้าร่วมบวชใจตั้งใจงดเหล้าเข้าพรรษาได้สำเร็จ     

    โดยนายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า การจัดกิจกรรม “วิ่งรอบสวน ชวนพักตับ ปอดขยับ ตับพักผ่อน” ครั้งนี้ เพื่อร่วมรณรงค์ให้ประชาชนได้ออกกำลังกาย และยังเป็นการร่วมส่งกำลังใจให้กับคนบวชใจที่กำลังต่อสู้กับการงดเหล้า(พักตับ) มาร่วมวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดีสมบูรณ์แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพื่อสิ่งแวดล้อม ให้สถาบันครอบครัวและชุมชน  ได้ทำกิจกรรมร่วมกันอีกด้วย กิจกรรมครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการส่งสัญญาณและแสดงออกถึงพลังความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพดีด้วยการเดิน-วิ่ง ออกกำลังกาย ให้เป็นวิถีชีวิต โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันแก้ปัญหาแอลกอฮอล์ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักถึงโทษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพอีกด้วย 

     และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อให้เกิดโรคมากกว่า 200 โรค ทำให้มีผู้เสียชีวิตปีละกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก ในประเทศไทย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตปีละกว่า 22,000 คนต่อปี ข้อมูลจากการศึกษาภาระโรคและการบาดเจ็บที่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพและปัจจัยเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุข ปี 2557 ระบุว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุอันดับ 1 ของการสูญเสียปีสุขภาวะจากการบกพร่องทางสุขภาพในเพศชาย และเป็นอันดับที่ 12 ในเพศหญิง ขณะเดียวกัน ได้มีการคำนวณความสูญเสียทางเศรษฐศาสตร์จากการเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็น 1 : 2 คือ รัฐได้ภาษี 1 บาท แต่รัฐต้องจ่ายค่ารักษาสุขภาพและผลกระทบที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2 บาท 

      นายศรีวิชัย ทรงสุวรรณ  ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ภาครัฐ เอกชน และภาคีเครือข่ายต่างๆ ร่วมกันแก้ปัญหาและหาแนวทางการลดผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีรวมทั้งการสื่อสารสาธารณะกับสังคมให้ร่วมตื่นรู้ และนำความรู้ไปขับเคลื่อนสังคมต่อไป ซึ่งโครงการงดเหล้าเข้าพรรษาเป็นแคมเปญรณรงค์แรกที่ สสส. เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ปี 2546 และทำต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา มีประชาชนเข้าร่วมโครงการงดเหล้าเข้าพรรษาทั้งสิ้นร้อยละ 67.5 คิดเป็น 14.2 ล้านคน สำหรับกิจกรรม “วิ่งพักตับ เข้าวัดฟังธรรม ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพื่อสิ่งแวดล้อม ” ในครั้งนี้  เป็นส่วนหนึ่งในโครงการงดเหล้าเข้าพรรษา 2566 เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ ชวน ช่วย เชียร์ประชาชนในพื้นที่ให้ตั้งใจลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโอกาสเข้าพรรษาปีนี้ ได้มากยิ่งขึ้น และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเลิกดื่มตลอดชีวิต

    นางสาวอุบลวรรณ  คงสว่าง ผู้ประสานงาน เครือข่ายงดเหล้าภาคตะวันตก กล่าวว่า  เครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคตะวันตกเป็นกลไกการเอื้ออำนวย หนุนเสริมให้ เครือข่ายประชาคมลดปัจจัยเสี่ยงแต่ละจังหวัด ทั้ง 8 จังหวัด มีความเข้มแข็ง เป็นที่ยอมรับของภาคีเครือข่าย เพื่อลดจำนวนการดื่มหน้าเก่าและหน้าใหม่ ลดปัญหาจากแอลกอฮอล์ เปลี่ยนค่านิยมการดื่ม และสนับสนุนภาครัฐให้บังคับใช้กฎหมายจริงจัง   

    โดยการทำงานในเชิงรณรงค์ ป้องกัน การสร้างความเข้าใจ และการเชื่อมประสานกับหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้อง เน้นการทำงานให้ชุมชนจัดการตนเองได้ ร่วมกันในการวางกติกาในชุมชน หนุนเสริมและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดแกนนำเลิกเหล้า เพื่อชวนเหลือแนะนำในพื้นที่  อีกทั้งทำงานในกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย โดยลดการจัดงานบุญประเพณีไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ตลอดจนกลุ่มเยาวชนแกนนำที่มีความเข้มแข็งเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและร่วมขับเคลื่อนงานงดเหล้า

    โครงการรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา ปี 2566 มีแนวคิด “รวมพลังเครือข่าย ชวน ช่วย เชียร์ งดเหล้าครบพรรษา” สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า เครือข่ายเยาวชน SDN ชมรมคนหัวใจเพชร และภาคีเครือข่ายได้ร่วมจัดเพื่อเป็นการส่งเสริม ให้คนบวชใจได้มีกำลังใจจากคนรอบข้างงดเหล้าต่อครบพรรษาตลอด 3 เดือน     ชื่อตอนว่า “วิ่งพักตับ เข้าวัดฟังธรรม ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพื่อสิ่งแวดล้อม” ณ สำนักสงฆ์เขาพระพุทธบาท ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จังหวัดราชบุรี หากท่านที่สนใจจะร่วมวิ่งให้กำลังใจ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่  Facebook Page เครือข่ายงดเหล้า”

  • เครือข่ายงดเหล้า จ.ประจวบฯ ร่วมกับคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำ MOU ขับเคลื่อนงานบุญประเพณีวัฒนธรรมวิถีใหม่ปลอดเหล้าปลอดภัย

    เครือข่ายงดเหล้า จ.ประจวบฯ ร่วมกับคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำ MOU ขับเคลื่อนงานบุญประเพณีวัฒนธรรมวิถีใหม่ปลอดเหล้าปลอดภัย

    เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เครือข่ายประชาคมงดเหล้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีสื่อสารสาธารณะ เพื่อรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานให้เป็นไปตามกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลงนามบันทึกข้อตกลงรวามร่วมมือ (MOU) การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะงานบุญประเพณี วัฒนธรรมวิถีใหม่ปลอดเหล้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ณ ศาลากลางจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยมีนายกิตติพงศ์ สุขภาคกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคตะวันตก โดยมี น.ส.ธนพร บางบัวงาม ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า จ.ประจวบฯ กล่าวรายงาน และมีเภสัชกร สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า อาจารย์มานพ แย้มอุทัย ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ( สสส.) ร่วมเป็นพยาน และน.ส.อุบลวรรณ คงสว่าง ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคตะวันตก นายเรวัฒน์ สุขหอม รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดประจวบฯ ตัวแทนชุมชนคนสู้เหล้าในแต่ละชุมชนทั้ง 8 อำเภอ ผู้แทนหน่วยงาน และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม 

    โดยกระบวนการในช่วงแรกเริ่มต้นด้วยเวทีเสวนา “เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา ยาเสพติด เต็มพื้นที่ออนไลน์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมรับมืออย่างไร” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายเรวัฒน์ สุขหอม (รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) ได้แลกเปลี่ยนเรื่องของพิษจากสารต่างๆ เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา ยาเสพติด โดยในจังหวัดจะมีการจัดเวทีพูดคุยประเด็นเรื่องยาเสพติด เดือนละ 2 ครั้ง ในกลุ่มผู้เสพ ในกลุ่มผู้ดื่มผู้เสพ ปฏิบัติตามดื่มและเสพเป็นที่เป็นทางมากขึ้น ปัจจุบันเริ่มมีการขายสุราพื้นบ้านมากขึ้น สินค้าบางชนิดทำออกมาสวย น่าซื้อน่าลอง

    คุณสุวรรณกิต บุญแท้ (ผู้แทนจากสำนักงานเครือข่ายองค์รงดเหล้า) กล่าวสถาณการณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในพื้นที่ออนไลน์ภาพรวม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จุดเด่นคือพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาสินค้าเกษตร ประเด็นปัญหาของพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือด้านความสังคมและมั่นคง เรื่องของผู้สูงอายุ และสตรีที่ท้องไม่พร้อม ทางด้านเยาวชนก็มีการรณรงค์และป้องกันยาเสพติด ถ้าย้อนไปเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีการดื่มมากขึ้นจนถึงกราฟปัจจุบันที่อยู่นิ่ง องค์การอนามัยโลก เห็นด้วยการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันดับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงอยู่ที่อันดับ 55 ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกระบุว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสารอันตรายมีการเสียชีวิตจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสารเสพติดที่มีผลกระทบต่อคนอื่นมากที่สุด องค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ประเทศไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุด การผลักดันสุราก้าวหน้า พรบ.สรรพสามิต การผลิต พรบ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์คือการขาย พรบ.จราจรทางบก คือ ผลกระทบ คราฟเบียร์ หรือการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปัจจุบันแค่มีวัตถุดิบครบก็สามารถผลิตได้

    นางมณฑา ขนเม่น (พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ) กล่าวถึงผลกระทบของ เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา ยาเสพติด ว่ากัญชาเสรีไม่มีอยู่จริง กัญชาที่สามารถนำมาใช้ได้คือ CBD สารกัญชาที่สามารถให้มอมเมาได้คือ THC เป็นปริมาณสูงในช่อดอกกัญชา เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดยก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย กัญชากับผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ฉบับที่ 9/2558 ห้ามขาย นำเสนอเพื่อขาย ห้ามให้บริการ บารากู่ดั้งเดิม บารากู่ไฟฟ้า บุหรี่ไฟฟ้า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ว่าด้วยเรื่อง ห้ามนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้า ความผิดเท่ากับลักลอบหนีพิธีการศุลกากร ห้ามพักสินค้าความผิดเท่ากับรับซื้อ/รับไว้ซึ่งสินค้าหนีพิธีการ กลุ่มบำบัดพบว่าอายุ 16 ปี ใช้สารเสพติดร่วมกัน เช่น กัญชา เหล้าขาว ยาม้า ฯลฯ

    ระหว่างเวทีเสวนาได้เกิดข้อแลกเปลี่ยนจากผู้เข้าร่วมรับฟัง ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่จำเป็นจะต้องนำมาเป็นจุดขายในการท่องเที่ยว สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ดำเนินงานมา 20 ปี ทำให้กราฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คงที่ นโยบายสุราก้าวหน้าเกี่ยวข้องกับประชาชนไม่เกินร้อยละ 10 สุราเป็นผลกระทบต่อผู้อื่นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ไม่ได้คัดค้านการดื่มของประชาชน ที่น่าเป็นห่วงคือนักดื่มหน้าใหม่เป็นกลุ่มสตรีมากกว่ากลุ่มผู้ชาย จากการวิจัยปัญหาสุรา ผู้หญิงดื่ม 1 แก้ว สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลการดื่มต่อสมอง และทำให้เยาวชนเสียโอกาส เสียอนาคต พิการได้ ตัวแทนชุมชนทุ่งทอง บ้านทับสะแก กล่าวว่า “ยาเสพติดเข้าถึงได้ง่ายกลับเยาวชนอายุ 12 ปีขึ้นไปรวมไปถึงบุหรี่ไฟฟ้า กว่าผู้ปกครองจะรับทราบเยาวชนก็ติดไปแล้ว สอบถามเยาวชนซื้อบุหรี่ไฟฟ้ามาจากร้านขายออนไลน์ ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราควรดัดไม้อ่อนในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

    หลังจากจบเวทีเสวนาด้าน น.ส.ธนพร บางบัวงาม ได้กล่าวรายงานต่อรองผู้ว่าราชการจังหวัดประชวบคีรีขันธ์ว่า  “พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เป็นกฎหมายที่ประชาชนมากกว่า 13 ล้านคนลงชื่อสนับสนุน เพื่อลดผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกมิติ ทั้งความรุนแรงในครอบครัว อุบัติเหตุ อาชญากรรม คุ้มครองสุขภาพประชาชน ป้องกันเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าถึงได้ง่าย จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 ที่สำรวจผู้อายุ 15 ขึ้นไปพบว่า ผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มจาก 38.68 ล้านคนในปี 2554 มาเป็น 41.04 ล้านคนในปี 2564 หรือมีนักดื่มลดลงประมาณ 2.3 ล้านคน เมื่อคำนวณปริมาณเอทานอลบริสุทธิ์ต่อหัวประชากรที่ดื่ม พบว่า อยู่ในระดับทรงตัว คือ 7.1 ลิตรต่อปี แต่เมื่อคำนวณต้นทุนที่สูญเสียจากปัญหาการดื่มในปี 2564 สูงกว่า 1.65 แสนล้านบาท อีกทั้งข้อมูลพบผู้ต้องขังอายุไม่เกิน 25 ปีสัดส่วนถึงร้อยละ 88% ดื่มสุราก่อนก่อเหตุ และผู้เสียชีวิตจากโรคตับสัมพันธ์กับการดื่มมีถึง 2.5 หมื่นคนต่อปี เครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดประจวบฯ ขอบคุณสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ที่ดำเนินการตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ คุ้มครองสุขภาพประชาชนและลดผลกระทบทางสังคม อย่างไรก็ตามเนื่องจากกฎหมายใช้มานาน จึงสนับสนุนให้ปรับแก้ ยืดหลักการแก้ไขให้ดีและเข้มแข็งขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขมาตรา 32 ห้ามใช้ตราสัญลักษณ์ (โลโก้) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปโฆษณาสินค้าอื่น อาทิ น้ำดื่ม โชดา กำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนกรณีมาตรา 29 ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้คนเมาครองสติไม่ได้  ให้ผู้ขาย ผู้ให้บริการเป็นแนวปฏิบัติได้จริง รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานบำบัดฟื้นฟูผู้ติดสุราอย่างจริงจัง สร้างแรงจูงใจให้ผู้ติดสุราเข้าสู่การบำบัด ขณะเดียวกัน กลไกการทำงานที่เข้มแข็งของเครือข่ายทั้งจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกันรณรงค์ป้องกันปัญหา ในส่วนของระดับจังหวัดจะประสานให้มีการทำงานที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น 

    สำหรับการบันทึกข้อตกลง (MOU) ซึ่งจะเป็นกลไกความร่วมมือรูปแบบหนึ่งที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย การจัดทำบันทึกข้อตกลงวันนี้ ประกอบด้วย 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.คณะกรรมการควบคุมเครื่องแอลกอฮอล์จังหวัดประจวบฯ 2.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดประจวบฯ และ 3.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคตะวันตก โดยมีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. และพี่น้องเครือข่ายเป็นพยาน  โดยทั้งนี้การจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ เพื่อขับเคลื่อนกลไกการดำเนินงาน สร้างความเข้มแข็งภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการจัดการปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และลดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพระดับจังหวัด เพื่อสนับสนุน ส่งเสริม การดำเนินงานสถานศึกษา เครือข่ายเยาวชนให้มีความตระหนักเรื่องพิษภัยและป้องกันนักดื่ม นักสูบหน้าใหม่ และเพื่อสร้างวัฒนธรรมวิถีใหม่ ค่านิยมใหม่ในงานเทศกาล งานบุญประเพณี ปลอดบุหรี่และสุรา ลดแรงสนับสนุนการดื่ม เฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมายของธุรกิจแอลกอฮอล์ และบังคับใช้กฎหมาย 4) เพื่อสนับสนุน หนุนเสริมกระบวนการปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่ ป้องกันเมาแล้วขับ และลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ลดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ 

    ด้าน นายกิตติพงศ์ สุขภาคกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวว่า “คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัดประจวบฯ นอกจากการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การบังคับใช้กฎหมาย ยังได้ขับเคลื่อนนโยบายการลดการดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง เพื่อสร้างสังคมปลอดภัยจากปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ควบคุมและจำกัดการเข้าถึง ควบคุมพฤติกรรมการขับขี่หลังการดื่ม คัดกรองและบำบัดรักษาผู้มีปัญหาจากสุรา ควบคุมการโฆษณา ส่งเสริมการขาย การให้ทุนสนับสนุน และการดำเนินการผ่านระบบภาษี ตระหนักถึงผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับสูงจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาได้ ทั้งนี้การปรับปรุงกฎหมาย ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมแผนปฏิบัติการและกฎหมายในหลายๆ เรื่อง เช่น แผนปฏิบัติการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติระยะที่ 2 และ ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติและดำเนินการตามขั้นตอน และให้ความสำคัญกับนโยบายการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านนโยบายและมาตรการต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

    การจัดงานในวันนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ดีและสำคัญยิ่ง กับการพัฒนาการ ดำเนินงานร่วมกันตามแนวทางความร่วมมือ การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการดำเนินงานดังต่อไปนี้ ร่วมรณรงค์และดำเนินการให้การจัดงานบุญประเพณีและเทศกาลต่างๆในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปลอดเหล้าปลอดภัย เพื่อลดอุบัติเหตุความสูญเสีย ลดปัญหาทะเลาะวิวาท อาชญากรรม และความรุนแรงในครอบครัว อาทิ งานกาชาด งานบวช งานแต่ง งานสงกรานต์ งานลอยกระทง งานแข่งเรือ งานเทศกาลอาหาร งานศพ งานไทยทรงดำ งานเกษียณอายุ งานสวดมนต์ข้ามปี งานวันกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน งานเสี้ยงอาสาสมัครในหมู่บ้าน  และไม่ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้มีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์กิจกรรมส่งเสริมการตลาดของธุรกิจแอลกอฮอล์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และชุมชน  อีกทั้งร่วมกันส่งเสริมกิจกรรมที่แสดงถึงคุณค่าทางประเพณีวัฒนธรรมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กเยาวชนและครอบครัว  นอกจากนี้ยังรณรงค์ชุมชนสู้เหล้า และงดเหล้าเข้าพรรษา ให้ชุมชนเป็นผู้ขับเคลื่อน ชวนช่วยเชียร์ ลด ละ เลิก และควบคุมบังคับใช้กฎหมาย กฎกติกาชุมชน ลดความรุนแรง ลดอุบัติเหตุ ลดการเจ็บป่วย และส่งเสริมครอบครัวให้เข้มแข็ง มีความสุข

    การสนับสนุนและส่งเสริมคุณภาพชีวิต การสร้างงาน อาชีพ และรายได้ รวมถึง การฟื้นฟูเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  สถานศึกษาจัดการ การศึกษา ให้ตระหนัก สร้างภูมิคุ้มกันร่วมกันส่งเสริม สนับสนุน การเปิดพื้นที่และกิจกรรมสร้างสรรค์ (ศิลปะ ดนตรี กีฬา วัฒนธรรม ชุมชนร่วมสมัย) สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเด็กเยาวชน ให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคต”

  • สคล.ยกระดับเยาวชน YSDN สู่การเป็นเยาวชนนักพูดรณรงค์ ลดปัจจัยเสี่ยง

    สคล.ยกระดับเยาวชน YSDN สู่การเป็นเยาวชนนักพูดรณรงค์ ลดปัจจัยเสี่ยง

    ในชีวิตประจำวันการพูดเป็นทักษะหลักในการสื่อสาร การพูดเป็นการถ่ายความรู้สึกนึกคิด ความเข้าใจและความต้องการออกไปให้ผู้อื่นได้รับรู้ เพราะฉะนั้นการรู้จักใช้ทักษะในการพูดให้ถูกต้อง ทั้งการออกเสียงและการใช้ภาษาพูดได้ถูกต้องก็จะทำให้การสื่อสารบรรลุตามจุดประสงค์และยังเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง

    การพูดเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการสื่อสารระหว่างกัน ผู้ที่ได้รับการทักทายจะเกิดความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ในการพูดทักทายกันนั้นสามารถเปิดประเด็นใหม่ของการสนทนาได้ การพูดจึงต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อให้การพูดนั้นถูกต้องและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติรูปแบบเดียวกัน การพุดที่ดีต้องแสวงหาความรู้ต่างๆมากมายให้ทันสมัยเพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง รวมทั้งสังเกตการพูดจากผู้พูดที่มีชื่อเสียงเพื่อพัฒนาการพูดของตน

    เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2566 สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) จัดกิจกรรมกิจกรรมอบรมพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเยาวชน YSDN หลักสูตร “YSDN เยาวชนนักพูดรณรงค์ ลดปัจจัยเสี่ยง” ระหว่างวันที่ 17-19 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรม เอบีน่า เฮาส์ หลักสี่ กรุงเทพฯ มีเยาวชนที่เข้าร่วมการอบรมจากทั้ง 9 ภูมิภาคทั่วประเทศ จำนวน 55 คน โดยในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้รับเกียรติ ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดกิจกรรม โดยเริ่มต้นด้วยการชวนเยาวชนในการแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อการจากไปของนายแพทย์อุดมศิลป์ สีแสงงาม ที่ปรึกษาคณะกรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณะสุข ได้กล่าวถึงสถิติการดื่มของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผู้หญิง สภาพปัญหาสำคัญของกลุ่มวัยรุ่นซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเกิดผลกระทบทางลบต่อตนเองและผู้อื่นได้แก่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากเกินไป จากผลการสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติ (2547) พบว่าคนไทยอายุ 11 ปีขึ้นไปดื่มจำนวน 18.61 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 35.46 จำแนกเป็นชายร้อยละ 60.80 หญิงร้อยละ 39.20 และในช่วง เวลาเพียง 7 ปี (พ.ศ.2539-2546) กลุ่มหญิงอายุ 15–19 ปีดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น เกือบ 6 เท่าตัว คือจากร้อยละ 1.0 เป็นร้อยละ 5.6 และรายงานการสำรวจสภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 3 (2547) พบวา่ชายอายุ 15-29 ปี ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เสี่ยงอันตรายสูงกว่าชาย กลุ่มอายุอื่นๆกรณีความถี่ของการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในครั้งเดียวพบว่าทั้งชายและหญิงในกลุ่มอายุนี้มากกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ โดยเฉพาะชายประมาณ 3-4 ครั้งต่อเดือน ได้มีการศึกษาความชุกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในกลุ่มอายุเดียวกันพบว่าชายมีความถี่การดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในครั้งเดียวสูงถึงร้อยละ 70 สำหรับหญิงแม้พบว่ามีความถี่การ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในครั้งเดียวน้อยกวา่ชายแต่ก็มีอัตราสูงกว่าหญิงในกลุ่มอายุอื่นๆ นอกจากนั้นยังพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นและสถานการณ์แอลกอฮอล์ในปัจจุบัน

    จากนั้น ดร.ประดิษฐ์ กิตติฤดีกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทรน แอนด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน ภาวะผู้นำ และพัฒนาองค์กร มากกว่า 30 ปีความเชี่ยวชาญการพัฒนาบุคลากร ทีมงาน ภาวะผู้นำ และพัฒนาองค์กรการพูดในที่ชุมชน การเป็นพิธีกร พร้อมด้วยนทีมงาน ได้เริ่มต้นกิจกรรมด้วยการสอนเทคนิคการพูดแนะนำตัวแบบมืออาชีพ โดยใช้พื้นฐานการมีบุคลิกภาพที่ดีและมีเสน่ห์ในการสื่อสาร การพูดแนะนำตัวแบบมืออาชีพ การพูดแนะนำตัว โดยมีการเสนอแนะจากวิทยากร การพูดประทับใจในที่ชุมชนต่อสาธารณชน ศิลปะการพูดจูงใจแบบใช้สื่อ การพูดโน้มน้าวใจ แบบไม่มีการเตรียมตัว ฝึกการพูดเชิญชวน โน้มน้าวใจ เชิญชวนงดเหล้าลดปัจจัยเสี่ยง การเทคนิคการเตรียมความพร้อมการจัดการความโต้แย้ง ฝึกการตั้งคำถามและตอบคำถามอย่างชาญฉลาด ซึ่งจะแบ่งกลุ่มเยาวชนเป็น 2 กลุ่ม แยกตามห้อง กิจกรรมการทบทวนบทเรียน และการสร้างเครือข่ายนักพูดรณรงค์ ลดปัจจัยเสี่ยง

    หลังจากจบหลักสูตร ได้พบว่าเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมสามารถยกระดับตัวเองในการเป็นนักพูดลดปัจจัยเสี่ยงได้ มีพัฒนาการที่โดดเด่นตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งเชื่อว่าเยาวชนที่เข้าร่วมการอบรมครั้งนี้ จะต้องกลับไปพัฒนาตนเองในการเป็นนักสื่อสารสาธารณะที่สามารถพูดต่อหน้าคน เพื่อการขับเคลื่อนการทำงานในพื้นที่ตนเองได้อย่างมีประสทธิภาพต่อไป

  • นายอำเภอปากท่อ  เยาวชนนักรณรงค์ เครือข่ายงดเหล้า ภาคตะวันตก และสสส. จัดวาเลนไทน์ยิ่งใหญ่ คนเพียบ

    นายอำเภอปากท่อ เยาวชนนักรณรงค์ เครือข่ายงดเหล้า ภาคตะวันตก และสสส. จัดวาเลนไทน์ยิ่งใหญ่ คนเพียบ

    เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 นายสุทธิพงษ์ พุทธจันทรา นายอำเภอปากท่อ พร้อมด้วย เครือข่ายเยาวชน เครือข่ายองค์กรงดเหล้า ภาคตะวันตก และชุมชนบ้านตากแดด ได้จัดกิจกรรม “มหัศจรรย์แห่งรัก วิถีกะเหรี่ยงปากท่อ-ยางหัก หอมกลิ่นไอรัก สุขหวานซึ้ง” ขึ้นที่ชุมชนบ้านตากแดด ต.ยางหัก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ภายใต้สโลแกน “ส่งรักให้พักเหล้า” โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายองค์กรงดเหล้า และอำเภอปากท่อ ที่มีแนวคิดในการจัดงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในการมีภาคีความร่วมมือในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ บ้าน วัด โรงเรียน และภาคประชาสังคม

    กระบวนการเริ่มขึ้นตั้งแต่ในช่วงเช้า โดยการรวมตัวกันบริเวณวัดยางคู่ แห่ขบวนห่มผ้าองค์พระคู่ “คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน รักกันตลอดไป” พร้อมให้อาหารปลา สาเหตุที่ต้องมาห่มผ้าพระที่นี่ เพราะชื่อวัดยางคู่ มีความหมายที่ดี และในการห่มผ้าพระคู่ ชาวบ้านในชุมชนมีความเชื่อว่าหากคู่แต่งงานมีโอกาสมากราบสักการะจะเป็นสิริมงคลต่อชีวิตคู่

    หลังจากนั้นได้เดินทางมาที่วัดไทรงาม เพื่อทำพิธีแห่ห่มผ้าเจดีย์ 9 ทิศ โดยเชื่อว่าเป็นรักบูชาธรรมทุกทิศมงคลศักดิ์สิทธิ์ การปิดทองพระเกจิ ทุกสาย เพื่อความสุขมงคลคุ้มครองทุกแห่ง การดูแลป่า บวชต้นไม้ ใส่ปุ๋ยใบไม้มงคล จะมีรักที่อบอุ่นร่มเย็นธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องวิถีกะเหรี่ยงรื้อบ้านเข้าหอ เชื่อว่ารักแท้เอาชนะอุปสรรค์ทุกสิ่ง วิถีกะเหรี่ยงเก็บน้ำผึ้ง เลี้ยงผึ้ง บ่งบอกถึงความรักหวานในทุกๆ วัน การคั่วกาแฟ ชงกาแฟชั้นยอด โรบัสต้าตะนาวศรีราชบุรี เพื่อให้ความรักมีเข้มไม่จืดจาง หอมซึ้ง การข้าวห่อกะเหรี่ยงผสมน้ำผึ้ง จะมีรักที่สุกสดใส หวานอบอวนใจ การลอดซุ้มกระบี่กระเหรี่ยง จะทำให้ความรักรักคุ้มครองคู่รัก การเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อให้รักรุ่งเรืองตลอดไป ต่อด้วยการจดทะเบียน เพื่อประกาศรักแท้ การรับประทานอาหารมงคล สมรสสมรัก เพื่อให้รักอุดมสมบูรณ์พูลสุขตลอดกาล การโยนช่อดอกไม้ ส่งความรักความสุขทั้งอำเภอ

    คู่รักแจ้งความประสงค์จดทะเบียนสมรส จำนวน 5 คู่
    1. นายสหพันธ์ รวยรุ่ง และ น.ส.ศุภารนันท์ ยอดมี
    2. นายบุญเจือ แสงจันทร์ และ น.ส.สง่า สาลีผล
    3. นายจำเนียร สาตสาย และ น.ส.สุดารัตน์ กุมกร
    4. นายบุญเลี่ยม บุญทศ และ น.ส.น้ำฝน แย้มเกษร
    5. นายบุญมา พานดี และ น.ส.จำเนียร นะสีโต

    คู่รักแท้ที่ครองรักกันมาเกิดนกว่า 15 ปี จำนวน 10 คู่ ได้แก่
    1. นายกฤษฎา แสงจันทร์ และ นางเอื้อง แสงจันทร์ (44 ปี)
    2. นายทวีทรัพย์ เทพลิบ และ นางศิริมา แจ้งกระจ่าง (10 ปี)
    3. นายยัง เจียมโพธิ์ และ นางจำรัส ฟ้าคนอง (26 ปี)
    4. นายชุมพล สันตานนท์ และ นางจันทร์เพ็ญ บุญช่วย (28 ปี)
    5. นายจอม เพลงวงค์ และ นางธิติภร เพลงวงค์ ( 36 ปี)
    6. นายกาฝาก บุญเปรื่อง และ นางบานเย็น บุญเปรื่อง ( 37 ปี)
    7. นายเฉลียว เนียมทับทิม และ นางพิมพ์ เนียมทับทิม (49 ปี)
    8. นายประเสริฐ วงษ์ชอุ่ม และ นางสมจิตร วงษ์ชอุ่ม ( 44 ปี )
    9. นายโชติ คุ้มครอง และ น.ส.โสภา คงพวก (23 ปี)
    10. นายสำรวย ขันแก้ว และ นางกิตติยา ขันแก้ว

    ทางด้านของเด็กเยาวชนนักกรณรงค์ที่เข้ามาร่วมงาน มีการแสดงการเล่นดนตรี ในการขับกล่อมผู้ที่มาร่วมงาน โดยเยาวชนดังกล่าวมาจากฐานเยาวชนที่ขับเคลื่อนงานรณรงค์ในระดับพื้นที่ และมีความสามารถในการเล่นดนตรี ซึ่งในครั้งนี้ เยาวชนได้มาเล่นเพลงรัก เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศในการทำให้งานมีความรื่นเริงมากขึ้น เยาวชนบางส่วนที่เป็นเยาวชนที่มาจากสถานศึกษา ต่างก็มาช่วยรณรงค์ในการแสดงสัญญาลักษณ์เกี่ยวกับเรื่องของแคมเปญ “สื่อรักให้พักเหล้า” และ ” 15 ปี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

    ซึ่งวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีนี้ เป็นปีที่ 15 ในการมีกฏหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลฮอล์ ซึ่งผลักดันโดยภาคประชาสังคม ขบวนการรณรงค์งดเหล้าก่อตัวและเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างชัดเจน ในช่วงปี 2546 ยุทธศาสตร์หนึ่งที่สำคัญคือการรณรงค์ เคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อผลักดันกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วงปลายปี 2549 รัฐบาลในสมัยนั้นมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เข้าสู่สภานิติบัญญัติ จากนั้นภาคประชาสังคมได้เข้าร่วมผลักดันกฎหมาย โดยกิจกรรมสำคัญคือการรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุน ร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมีผู้ร่วมลงชื่อมากกว่า 13 ล้านรายชื่อ มีกิจกรรมรณรงค์ จากภาคประชาสังคมเกือบทุกสัปดาห์ตลอดปี 2550 จนนำมาสู่การลงมติเห็นชอบของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและมีผลบังคับใช้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 โดยมีเหตุผลในการประกาศใช้ว่า

    “โดยที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ ครอบครัว อุบัติเหตุ และอาชญากรรม ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สมควรให้กำหนดมาตรการต่างๆ ในการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งการบำบัดรักษาหรือฟื้นฟูสภาพผู้ติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดปัญหาและผลกระทบทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ช่วยสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน โดยให้ตระหนักถึงพิษภัยของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตลอดจนช่วยป้องกันเด็กและเยาวชน มิให้เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย”

    ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ภาคประชาสังคมทั่วประเทศร่วมรณรงค์ เฝ้าระวัง ติดตาม และผลักดันให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย จนมีผู้กล่าวว่า เป็น พ.ร.บ.ที่มีการบังคับใช้มากที่สุด โดยผู้ประกอบการทั้ง ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ สถานบันเทิง และร้านอาหารส่วนใหญ่ร่วมปฏิบัติตามกฏหมาย อีกทั้ง ทำให้สถานที่ห้ามดื่มห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่บัญญัติไว้ เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก เยาวชน และครอบครัว รวมถึงทำให้เกิดคณะกรรมการในระดับต่างๆ ที่เป็นกลไกของรัฐในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วยชะลออัตราการบริโภค ช่วยลดปัญหาและผลกระทบในด้านต่างๆ ที่สำคัญที่สุด ช่วยป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในระดับหนึ่ง

    อย่างไรก็ตามธุรกิจแอลกอฮอล์มีความพยายามที่่จะหลบเลี่ยงกฏหมาย โดยเฉพาะการห้ามโฆษณา และพยายามที่จะแก้ไขให้กฏหมายมีมาตรการที่อ่อนลง ที่น่ากังวลที่สุด คือในโอกาสที่ พ.ร.บ. ฉบับนี้ ครบรอบ 15 ปี ในปี 2566 เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งนักการเมืองจำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับการแก้ไขกฏหมายให้อ่อนลง และชูเป็นนโยบายในการหาเสียง เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากผู้ประกอบการ ดังนั้นภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นเจ้าของ พ.ร.บ.ฉบับนี้มาตั้งแต่ต้น จึงร่วมกันรณรงค์เพื่อยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้มีคุณูปการต่อการสร้างสุขภาวะของสังคมไทย และร่วมกันเรียกร้องให้นักการเมืองและผู้มีอำนาจทางนโยบาย ไม่ให้มีการแก้กฏหมายให้ต่ำกว่ามาตรการที่เป็นอยู่ ในทางกลับกันควรปรับปรุงให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อสร้างสังคมสุขภาวะที่พัฒนาอย่างสมดุลในทุกมิติ และส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป

    การจัดงานครั้งนี้ นอกจากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ชุมชนเองยังสนับสนุนกิจกรรมด้วยการนำอาหารและของที่ต้องใช้ในงานมาร่วมกัน จึงทำให้เกิดการบูารณาการดังนี้

    เครื่องขันหมาก ได้แก่

    1.ต้นกล้วย (ตำบลทุ่งหลวง)
    2.ต้นอ้อย (ตำบลทุ่งหลวง)
    3.น้ำหวาน (ตำบลทุ่งหลวง)
    4.หัวหมู (ตำบลวังมะนาว)
    5.ไก่ต้ม (ตำบลป่าไก่)
    6.ห่อหมก (ตำบลวัดยางงาม)
    7.ผัดหมี่ (ตำบลปากท่อ)
    8.ขนมจีน (ตำบลห้วยยางโทน)
    9.ส้ม (ตำบลวังมะนาว)
    10.กล้วยหวี (ตำบลยางหัก)
    11.มะพร้าว (ตำบลวันดาว)
    12.ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง(ตำบลดอนทราย)
    13.กาละเม – ข้าวเหนียวแดง(ตำบลบ่อกระดาน)
    14.ขนมเปี้ยะ (ตำบลวันดาว)
    15.ข้าวต้มมัด (ตำบลหนองกระทุ่ม)
    16.ขนมจันอับ (ตำบลทุ่งหลวง)
    17.ขนมปลา (ตำบลอ่างหิน)
    18.ข้าวห่อ (ตำบลยางหัก)
    19.กาแฟ/น้ำลำใย (ตำบลยางหัก)
    20.ขบวนรำ (ตำบลห้วยยางโทน)
    21.ขบวนกลองยาว (หมู่ที่ 15 ทุ่งหลวง)

    จึงนับได้ว่าเป็นงานระดับอำเภอที่มีการบูรณาการที่เข้มแข็งของชุมชน สร้างความสัมพันธ์ในชุมชนได้อย่างเหนียวแน่นเลยทีเดียว สำหรับการัขับเคลื่อนงานวันวาเลนไทน์แล้ว อำเภอปากท่อยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย และที่ได้รับความโดยเด่นคือแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของอ.ปากท่อ ที่มีความโดยเด่นในเรื่องของวิถีการดำเนินชีวิต อาชีพ และความโด่ดเด่นเรื่องของการแต่งกายวัฒนธรรม

  • ชาติพันธุ์กระเหรี่ยง คาดหวังถ่ายทอดพิธีบุญข้าวใหม่ ให้รุ่นหลังรับช่วง

    ชาติพันธุ์กระเหรี่ยง คาดหวังถ่ายทอดพิธีบุญข้าวใหม่ ให้รุ่นหลังรับช่วง

    วันนี้จะพาทุกคนมาเที่ยวชมวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาวไทยเชื้อสายกระเหรี่ยง ในฤดูกาลเกี่ยวข้าวหมุนเวียน รอวันกินข้าวใหม่ เป็นประเพณีที่สืบทอดมาแต่สมัยโบราณนานนับร้อยปี ให้ลูกหลานได้รู้จักวิถีชีวิตดั้งเดิมหาชมได้ยาก ไปเที่ยวชมวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงบางกะม่าร่วมกับผู้ใหญ่บ้าน และชุมชนร่วมกันจัดขึ้น เพื่อเป็นการฟื้นฟูวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชุมชนชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงให้คงอยู่ เมื่อถึงช่วงหน้าเกี่ยวข้าวจะมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล มีผู้นำหมู่บ้านพร้อมชาวบ้านจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าทอมือเป็นชุดประจำพื้นถิ่นของชนชาติกะเหรี่ยง ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนชาวกะเหรี่ยงที่นำอุปกรณ์การเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกที่เรียกว่า “ปา” ใช้สำหรับเก็บข้าวฟ่อน และ “ ไน” ใช้สำหรับใส่ข้าวเปลือก และ “โงใหญ่” เป็นอุปกรณ์ใส่ข้าวฟ่อนเพื่อใช้แบกข้าวฟ่อนขึ้นบนห้างสูง ที่ทำไว้สำหรับใช้นวดข้าวให้หล่นตกมาด้านล่าง เมื่อนวดข้าวเหลือแต่เม็ดแล้วก็จะนำไปใส่แบบข้าวแบ่งกันกลับไป เป็นข้าวสายพันธุ์ที่ไม่ต้องซื้อกินลักษณะคล้ายตะกร้าทรงสูงเป็นอุปกรณ์ที่จักสานมาจากไม้ไผ่ละเอียดโดยจะมีการนำเชือกร้อยใส่ที่กลางตะกร้า เพื่อนำขึ้นคล้องใส่ไว้บนศีรษะ เตรียมนำไปใส่ฟ่อนข้าวที่เก็บเกี่ยวอยู่ไร่ปลูกข้าว เพื่อเอามานวด

    การจัดกิจกรรมว่า เป็นประเพณีที่สืบทอดต่อกันมานับร้อยปีมาแล้ว ซึ่งชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่า พระแม่โพสพจะอยู่บนสวรรค์ จะมีกระเช้าจะเปรียบเสมือนกระเป๋าเงินกระเป๋าทองที่พระแม่โพสพให้มาจะมีเมล็ดข้าวเมล็ดงา ดอกไม้ต่างๆ เสร็จแล้วพระแม่โพสพก็จะให้โอวาทกับกลุ่มชาติพันธุ์จากนั้นจึงกลับขึ้นสวรรค์โดยกระเป๋าที่ทิ้งให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์สืบต่อมานั้นเป็นสายใยรักของท่านอย่าไปทิ้ง ขอให้สืบทอดต่อไปนอกจากนี้ด้านในกระเป๋ายังมีกล้วย ข้าวห่อ หมากพลู เคียวเกี่ยวข้าว พร้อมกับอ้อยอีก 1 ลำ พอเกี่ยวข้าวแม่โพสพใหญ่แล้วก็จะนำมาเก็บไว้ในฉาง เป็นประเพณีสืบทอดกันมายาวนาน 200 – 300 ปีแล้ว ตั้งแต่ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเกิดขึ้นมาทั่วประเทศไทย ส่วนพื้นที่การปลูกก็จะขึ้นอยู่กับสภาพแต่ละพื้นที่ เช่น เชิงเขาสูง ที่ราบ ช่วงฤดูการเตรียมหาพื้นที่ปลูกตั้งแต่เดือนมกราคม ซึ่งอาจจะปลูกช่วงเดือนสิงหาคม จะต้องมีอุปกรณ์ตามที่แม่โพสพบอกไว้ วิธีการปลูกนั้นเป็นลักษณะแบบหมุนเวียน ใช้ไม้แทงหยอดลงดินตามหลุมโดยพันธุ์ข้าวมี 2 สายพันธุ์คือ พันธุ์อั้งเจิง และพันธุ์ว่องลาย หลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จก็จะนำข้าวฟ่อนขนขึ้นไปบนห้างเรียงเก็บไว้เป็นแถว เมื่อถึงเวลานัดหมายก็จะช่วยกันนวด ช่วยกันฟาด เพื่อให้เมล็ดข้าวได้หล่นลงตามล่องไม่ไผ่มาด้านล่าง ที่มีฝืนรำแพนใหญ่ที่สานจากไม้ไผ่ปูรองไว้ คนที่อยู่ด้านล่างก็จะใช้พัดโบกเพื่อให้ข้าวเปลือกที่เป็นเม็ดลีบปลิวออกจากกอง จากนั้นจึงขนนำไปใส่กระล่อมข้าว เพื่อเตรียมจัดพิธีกินข้าวใหม่อีกครั้งในเดือนมกราคม เป็นการเสร็จพิธีของชาติพันธุ์ โดยเป็นการปลูกข้าวแบบหมุนเวียนจัดแบ่งพื้นที่ในการปลูกแต่ละครั้ง 

    สำหรับพื้นที่การนวดข้าวจะทำห้างลักษณะสูง มีบันไดไม้สูง เวลานำฟ่อนข้าวขึ้นไปด้านบนแล้วนวดฟาดลงมาจะมีเมล็ดข้าวแกร่งร่วงตกหล่นลงมาลงด้านล่างมีน้ำหนัก ส่วนเมล็ดข้าวที่มีลักษณะลีบก็จะปลิวไปตามแรงโน้มถ่วง และจะใช้แรงงานคนพัดวีเพื่อให้เมล็ดข้าวที่ลีบปลิวออกไปก็จะได้แต่เมล็ดข้าวที่สมบูรณ์เมื่อนำไปหุงจะเป็นข้าวใหม่ที่มีกลิ่นหอม เหนียว นุ่ม คล้ายข้าวหอมมะลิ และยังเป็นข้าวอินทรีย์ที่ไม่ใช้สารเคมีด้วย สำหรับชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงบ้านหินสี ตำบลยางหัก หลังจากเสร็จสิ้นฤดูเกี่ยวข้าวแล้ว ก็จะตากข้าวไว้ให้แห้ง จากนั้นก็จะกำหนดวันรวมกลุ่มนัดหมาย เพื่อจัดพิธีกินข้าวใหม่กันอีกครั้งในช่วงเดือนถัดจากนี้ไป

    เมื่อวันที่ 24-25 ธันวาคม ที่ผ่านมา ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านบางกะม่า ได้จัดพิธี “งานบุญข้าวใหม่”ขึ้นบริเวณลานกิจกรรมของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการจัดโดยชุมชนบ่งกะม่า และภาคึเครือข่ายที่ร่วมเป็นผู้สนับสนุนการสร้างพื้นที่ของวัฒนธรรมสร้างสุข สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ภาคตะวันตก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์พัฒนาพื้นที่สูงจังหวัดราชบุรี สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 

    โดยงานบุญข้าวใหม่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับพระเม่โพสพของชาวกะเหรี่ยง เริ่มมีการเพาะปลูก หรือเรียกภาษากะเหรี่ยงว่า “ชีบ่งบึ้ง” ซึ่งพิธีนี้ถูกทำขึ้นตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าทำมาตั้งแต่เมื่อไร แต่พิธีดังกล่าวมีพีธีกรรมได้แก่ การปลูกข้าวครูไว้จำนวน 9 กอง ก่อนที่จะปลูกข้าวครู ก็จะทำพิธีอันเชิญพระแม่โพสพมาจากสวรรค์ แล้วจึงปลูกข้าว นี่คือขวัญข้าวแม่ข้าวที่เป็นตัวแทนของข้าวในไร่เป็นครูของข้าวทั้งหมด ซึ่งแม่พระแม่โพสภจะมาอยู่ตรงนี้ จะมีการจุดเทียนแล้วนำเมล็ดข้าวแม่โพสพ แม่ธรณี แม่คงคา มาห่อรวมกัน เมื่อถึงเวลาพระแม่โพสพมาแล้ว ช่วงที่เราปลูกข้าวจนถึงฤดูการเก็บเกี่ยว นำข้าวขึ้นลานแล้วจะนำข้าวใหม่ก็จะมีการขอบคุณพระแม่โพสภด้วยการเลี้ยงพระแม่โพสภโดยอาหารที่นำมาเลี้ยงประกอบไปด้วย แกงหอย แกงเผือก แกงมัน จะต้องมีเถาวัลย์ที่เรียกว่า “ชั่งไก่ดุ๊”มาผูกไว้ แล้วจะมีการนำเครื่องมือในการทำเกษตรและเครืองครัวที่ให้ในการหุงหาอาหารมาร่วมอยู่มในพิธีกรรมขอบคุณพระแม่โพสพด้วย และเมื่อทำพิธีเลี้ยงพระแม่โพสพเสร็จสิ้น ก็จะทำการอันเชิญท่านกลับสวรรค์ ซึ่งจะทำการอันเชิญอีกครั้งเมื่อถึงฤดูการเพราะปลูกครั้งต่อไป 

    ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อของชุมชนกะเหรี่ยง ที่ทำกันมาอย่างยาวนาน เมื่ออดีตกาลพิธีดังกล่าวถูกทำในเฉพาะครัวเรือน แต่เมื่อยุดสมัยเปลี่ยนไป มีการปลูกข้าวน้อยลง มีปัญหาเรื่องที่ทำกินที่ทางราชกาลป่าไม้ไม่ให้มีการทำไร่หมุนเวียน ถูกจำกัดสิทธิ์ ทำให้การปลูกข้าวน้อยลง ทำให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ คือการรวมทำพร้อมกันทั้งชุมชนเพื่อทำพิธีเดียวกัน เมื่อทำพร้อมกันทำให้เกิดพลังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เป็นจุดสนใจในส่วนของนักท่องเที่ยว มีคนเข้ามาร่วมมากขึ้น มีเครือข่ายมากขึ้น ตรงนี้ส่งผลดีเรื่องการสืบสานต่อคนรุ่นหลัง 

    สาเหตุที่ต้องทำพิธีการการได้ขอบคุณธรรมขาติ ถ้าเรามีความเชื่อและมีความศรัทธากับธรรมชาติจึงทำให้เกิดความผูกพันธ์กับธรรมชาติมากขึ้น เรามีความเชื่อในเรื่องพิธีกินข้าวใหม่ เราจะต้องแบ่งข้าวไว้7 กอง กองที่ 1 ให้สัตว์ต่างๆได้กิน กองที่ 2 ให้พระหรือนักบวช กองที่ 3 ให้พ่อแม่ปู่ย่าตายาย กองที่ 4 ให้หญิงหม้าย เด็กกำพร้า กองที่ 5 ให้ญาติพี่น้องที่มาช่วยเก็บเกี่ยว กองที่ 6 เก็บไว้กินเอง กองที่ 7 เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธ์ นอกจากนั้นวิถีของชาวกะเหรี่ยง เมื่อมีเมล็ดพันธ์ข้าวเราจะนำมาแลกเปลี่ยนกันในชุมชนและสุดท้ายคนเราไม่สามารถดยู่คนเดียวได้ เราก็จะเอื้อกัน ใครแข็งแรงก็ช่วยคนที่อ่อนแอ  คนไหนที่มีมากก็แบ่งปันคนอื่นถ้าสังคมรู้จักการแบ่งปัน สังคมก็จะสงบสุข ส่วนเรื่องของการท่องเที่ยวก็ก็อยากให้มาเรียนรู้ร่วมกันว่าประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่อาจจะมีความแตกต่างกัน แล้วถ้าตรงไหนมันดีมีคุณค่าเราก็ช่วยกันส่งเสริม สิ่งสำคัญคือถ้าประเพณีเรายังอยู่ ถ้าเราไม่อายในเรื่องของชาติพันธุ์และเห็นคุณค่าจะเป็นความเข้มแข็งในชุมชน ในส่วนของการท่องเที่ยวบางกะม่า เส้นทางการเดินทางมีความลำบากการที่จะขึ้นมาได้นั้นต้องใช้ความอดทน ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ นักท่องเที่ยวที่มานั้นจะเป็นกลุ่มคนที่รักและอนุรักษ์ธรรมชาติ และในทุกๆปีจะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมกขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนเก่าและคนใหม่ ดังนั้นเราจึงต้องมีการส่งเสริมอาชีพของชุมชนเพื่อให้ชุมชนมีรายได้ ถ้าเขามีรายได้เค้าก็จะรักษาประเพณีที่ดีงามนี้ไว้ และลูกหลานรุ่นใหม่ก็จะสานต่อประเพณีวัฒนธรรมรุ่นต่อรุ่นไป บางกะม่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ทีมีลักษณะเป็นธรรมชาติเชิงนิเวศจะมีความสุขการ สุขใจ มีอากาศที่ดีการต้อนรับที่ดีของชาวบ้านก็จะทำให้นักท้องเที่ยวได้มีความสุขด้วยเช่นกัน

    ต้องบอกว่าประเพณีวัฒนธรรม “กินข้าวใหม่”ของชุมชนชาติพันธุ์ไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง มีความน่าสนใจและโดดเด่นด้านคุณค่าเชิงวัฒนธรรมอย่างมากเลยทีเดียว สิ่งที่น่าสนใจคือ การจัดงานดั้งเดิมแบบวิถีใหม่ ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานบุญ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจในรากเหง้าของความเป็นชุมชนกะเหรี่ยงวิถีความเป็นอยู่ วิถีชีวิต สามารถมาที่หมู่บ้านบางกะม่า ต.บ้านบึง อ.บ้านคา จ.ราชบุรี ได้เลยครับ ผู้นำชุมชนพร้อมด้วยชาวบ้านพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มใจอย่างแน่นอน

  • สคล.จัดเต็ม ปั้นนักสื่อสารสร้างการเปลี่ยนแปลง

    สคล.จัดเต็ม ปั้นนักสื่อสารสร้างการเปลี่ยนแปลง

    สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) เป็นองค์กรที่เป็นเครือข่ายภาคประชาชน ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. 2546 ยุทธศาสตร์และกิจกรรมหลักของเครือข่ายองค์กรงดเหล้า จะแบ่งกันทำงานไปตามความถนัดและตามธรรมชาติของแต่ละองค์กร ซึ่งในปี พ.ศ. 2547 นี้ มีองค์กรที่มาร่วมงานกันกว่า 150 องค์กร โดยแบ่งกิจกรรมการรณรงค์เป็น 2 ลักษณะคือ รณรงค์เพื่อปลุกกระแสสังคม และรณรงค์แนวลึกเข้าไปติดอาวุธทางปัญญาและแก้ไขที่รากของปัญหา คือความไม่รู้ของคน ทั้งที่ดื่มแล้วและยังไม่ดื่ม ซึ่งงานในส่วนที่ 2 นี้เป็นงานที่ต้องอาศัยระยะเวลาเนื่องจาก ต้องยอมรับว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “เหล้าเบียร์” นั้นอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย อยู่ในทุกประเพณีและแทบจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมเพราะฉะนั้นการจะใช้เวลาเพียงปีหรือ 2 ปีกับการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องใจร้อนเกินไป เครือข่ายฯหวังจะเป็นเพียงน้ำหยดหนึ่งในแม่น้ำกว้างใหญ่แห่งสังคมและหวังว่าจะมีเพื่อนๆ จากองค์กรต่างๆหันมาเห็นด้วยและมาร่วมมือกันรณรค์เรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่การการดำเนินการทีผ่านมากับการสื่อสารยังไม่ถูกจัดทำให้เป็นระบบ หสรือสื่อสารสร้างการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องการปรับรูปแบบในการเพื่อให้การสื่อสารนั้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และมีอิทธิพลต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคม 

    จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าได้มีแนวคิดเรื่องของการพัฒนาศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านการสื่อสารในระดับภูมิถลภาค จึงได้เกิดเวทีการอบรมพัฒนาศักยภาพ Creative Skill Workshop (CSW) ขึ้น โดยในหลักสูตรครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทักษะการเขียนข่าวและบทความแก่เจ้าหน้าที่ เมื่อเข้ามาร่วมในกิจกรรม Creative Skill Workshop (CSW) สามารถออกแบบ เขียนข่าวและเขียนบทความ สามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารขององค์กรสู่สาธารณะด้วย Word Pless ได้ ซึ่งกิจกรรมนี้ถูกจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 21-23 ธันวาคม 2565 ณ โรงแรมเอส บางกอก กรุงเทพมหานคร 

    ซึ่งในการอบรมครั้งนี้จะเป็นการแลกเปลี่ยนเรื่องการทำงานแนวทางผลงานด้านสื่อที่ผ่านมาพร้อมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเลือกข่าวมานำเสนอในพื้นที่ของแต่ละภาค ประเด็นสื่อเพื่อการเปลี่ยนแปลงแลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคนิคและวิธีการทำงาน 

    โดยได้รับเกียรติจาก อาจารย์ชลทิศ แก้วประเสริฐสม ผู้ชำนาญการอาวุโส ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ (The Active)สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS ซึ่งอาจารย์ได้กล่าวถึงการค้นหาความต้องการที่ซ่อนเร้นซึ่งความต้องการนั้นส่วนใหญ่มาในรูปแบบของผู้รับสารที่มีความต้องการแอบแฝงแต่ยังไม่มีใครสามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้ ผู้รับสารยังคงพยายามที่จะค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง ผู้รับสารมีความต้องการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและรวดเร็ว ผู้รับสารไม่ทราบว่าตัวเองต้องการอะไร จนกว่าจะได้เห็นสิ่งที่ต้องการ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะทราบความต้องการทั้งหมดของผู้รับสาร ซึ่งวิธีในการค้นหาความต้องการของผู้รับสาร คือค้นหาจากข้อมูลที่มีอยู่และสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 

    การวิจัยแบบตามติด คือการสังเกตุพฤติกรรมวิถีชีวิต ความเชื่อ ค่านิยมของกลุ่มคนในสังคมและวัฒนธรรมในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเน้นวิธีการ สังเกตแบบมีส่วนร่วมโดยผู้วิจัยจะต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มซึ่งในที่นี้จะเป็นการติดตามและสังเกตพฤติกรรมของผู้รับสารถึงที่บ้านหรือที่ทำงานเพื่อเรียนรู้ถึงแนวทางในการใช้ชีวิตของผู้รับสารซึ่งจะทำให้เห็นประเด็นเนื้อหาที่เกิดขึ้นกับผู้รับสารและจะเป็นโอกาสในการปรับปรุงหรือพัฒนาสินค้าและบริการได้ดียิ่งขึ้น 

    การสัมภาษณ์ คือการสอบถามถึงปัญหาที่พบและต้องการเนื้อหาที่มีคุณลักษณะอย่างไรโดยวิธีการนี้สามารถใช้เทคนิคผ่านการถามคำถามห้าคำถามที่เจาะลึกลงไปเรื่อยเรื่อยจึงจะช่วยให้เราทราบความต้องการที่ซ่อนอยู่ของผู้รับสารได้โดยมากจะตั้งคำถาม Why ฉันใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา

    การสำรวจความคิดเห็นของผู้รับสาร เป็นการสำรวจความคิดเห็นของโดยใช้ช่องทางอีเมลหรือเว็บไซต์โดยจะสอบถามถึงทัศนคติและความคาดหวังของผู้รับสารที่มีต่อเนื้อหา ในการตั้งคำถามควรมีทั้งคำถามปลายเปิดและปลายปิด จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ที่สุด การตั้งคำถามเพื่อท้าทายสิ่งเดิมเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและมีต้นทุนน้อยที่สุด ในการช่วยจุดประกายให้คนที่เกี่ยวข้องได้คิดออกไปจากนอกกรอบแนวคิดเดิมและวิธีการทำงานที่เป็นมาตรฐาน

    Customer Personas คือการกำหนดลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่ผ่านการวิเคราะห์จากเพศ ลักษณะนิสัยงานที่ทำ พฤติกรรมใช้ชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งจุดสำคัญที่ทำให้คุณทราบว่าผู้รับสารของคุณเป็นคนมีลักษณะยังไงนอกจากนี้จะทำให้ทุกคนในทีมมีความเข้าใจในการสื่อสารออกไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกัน มีการสังเกต Customer Insight พฤติกรรมผู้บริโภคว่าพวกเขาทำอะไรทำ ไมถึงทำ มีการใช้ชีวิตอย่างไร และเจาะเข้าไปถึงแก่นก้นบึ้งของจิตใจผู้บริโภคเป้าหมาย 

    สื่อสร้างพลเมือง ริเริ่มให้ประชาชนหาทางออกต่อประเด็นปัญหาของสังคมเพราะมีส่วนร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมทางสังคมและชักชวนผู้คนในสังคมมารวมตัวให้เกิดเป็นเวทีสาธารณะ สื่อสารทางออกให้สังคมคือการนำข้อมูลข่าวสารที่เห็นตอบโจทย์ที่เป็นทางออกให้สังคมในประเด็นต่างๆ หรือการสื่อสารถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่หลากหลายทั้งข้อดีข้อด้อยของแต่ละแนวทางเพื่อเปรียบเทียบและปรับใช้จัดการปัญหา และสื่อสารให้ผู้รับสารเข้าใจปัญหาอย่างทองแท้จนสามารถกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในฐานะส่วนหนึ่งของชุมชน

    นอกจากนั้นยังให้เรียนรู้เรื่องบทบาทความสำคัญหลักการเขียนข่าวและบทความการทำความเข้าใจการใช้งาน Word Pless เบื้องต้น และมีการ Work Shop การใช้ Word Pless องค์ประกอบการจัดวางภาพประกอบและ Creative Value องค์ประกอบศิลป์เบื้องต้น เรียนรู้แนวทางมาตรฐานการทำงานสำหรับเว็บไซต์ SDN Thailand รวมทั้งใน Social Media การใช้โปรแกรม เครื่องมือออกแบบกราฟิกเบื้องต้น พร้อมทั้งมีทบทวนการออกแบบที่ได้จัดทำขึ้น 

    คุณธีระ วัชรปราณี : ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า กล่าวว่า “การอบรมครั้งนี้เกิดขึ้นโดยเนื่องจากเครือข่ายองค์กรงดเหล้ามีพื้นที่การทำงานอยู่ทั่วประเทศและมียุทธศาสตร์ในการทำงานอยู่หลากหลาย ได้แก่ เยาวชน ชุมชน กฎหมาย ป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และวัฒนธรรมประพณีต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย แต่ปัญหาก็คือเราทำแต่กิจกรรม แต่เนื้องานแต่ละพื้นที่ออกมาในการให้สังคมได้รับรู้หรือเข้าใจในสิ่งที่ทำสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงจะทำยังไง จึงเป็นที่มาที่ว่าอยากจะให้เจ้าหน้าที่ได้มีทักษะและมีความมุ่งมั่นที่อยากจะสื่อสารทั้งระดับประชาสัมพันธ์และการสร้างความเปลี่ยนแปลง ส่วนใหญ่การสื่อสารแบบประชาสัมพันธ์แต่ไม่ค่อยมีเนื้อหารายละเอียดและคุณค่าของข่าว จึงมาฝึกการเขียนข่าว 

    เป้าหมายคือการสร้างการเปลี่ยนแปลง เราทำงานมา 20 ปี ก็คาดหวังว่าอีก 3 ปี อยากจะให้การทำงานของเครือข่ายองค์กรงดเหล้าทั้งประเทศทำงานแล้วต้องสื่อสารได้

    โดยเริ่มจากการสื่อสารประชาสัมพันธ์ การอบรมครั้งนี้เท่าที่ดูกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ ให้ความสนใจ มีการแลกเปลี่ยนซักถาม หัวใจสำคัญคือการมาอบรมครั้งนี้แล้วจะสามารถกลับไปทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็จะมีการติดตามผลในระยะต่อไป โดยคาดหวังว่าหลังจากนี้หากมีใครส่งข่าวอย่างต่อเนื่องก็อาจจะได้รับการยกย่อง เท่าที่ดูจากผลงานก็คิดว่าอาจจะต้องดูหลังจากส่งงานแล้ว ก็คิดว่าเป็นเรื่องของการเรียนรู้ อยากจะให้ทุกคนได้พัฒนาตนเอง เป็น้ำแก้วที่ว่างเพื่อยกระดับตนเองเพื่อเป็นความสุขในการทำงานต่อไป”

    คุณกนิษฐา ติ้ววงศ์ : ฝ่ายสื่อสารองค์กร กล่าวว่า “จากการจัดกิจกรรมครั้งนี้ผู้เข้าร่วมทุกคนจะได้ถึงแนวคิดวิธีการความคิดสร้างสรรค์ มีการแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนที่มาอบรมร่วมกัน ทำให้หลายๆ คนมีไฟลในการสื่อสารมากขึ้น เพราะจะเห็นว่าตัวเองสามารถก้าวข้ามความกลัวและคิดนอกกรอบได้ เห็นช่องทางของตนเองจึงทำให้อยากกลับไปทำต่อ สังเกตจากผลงานที่ได้ดูของผู้อบรมแต่ละคนมีความตั้งใจมากในการที่จะเขียนข่าว และเห็นความสำคัญที่จะกลับไปทำงานในพื้นที่ เพราะผู้เข้าร่วมนั้นต้องการทีจะสื่อสาร จากที่เคยได้ยินมาคือไม่มีเวลาเขียน จะเริ่มต้นจากอะไร เหมือนจับทางไม่ถูก พอทุกคนได้รู้แนวทางว่าลำดับแรกจะต้องเริ่มจากอะไรก่อน และต่อไปจะต้องต่อด้วยอะไร ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญตรงนี้เป็นอันดับแรกและได้เข้าใจถึงนโยบายจากที่คุณธีระได้เล่าในตอนต้น ทำให้แต่ละคนก็จะรู้การจัดละดับการเขียน การถ่ายภาพ และการกลับมาทำเพื่อให้ได้เนื้องานที่สมบูรณ์ภายในเวลาไม่นาน”

    จากหลักสูตรดังกล่าว จะเห็นว่า “คุณธีระ วัชรปราณี” ผู้ใหญ่ใจดีที่คอยโอบอุ้มทุ่มเทส่งเสริมในการพัฒนาและยกระดับองค์กร ได้นำผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ มายกระดับการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่องค์งดเหล้าอย่างต่อเนื่องและมีความหวังว่าผู้เข้าร่วมอบรมจะสามารถกลับไปสร้างผลงานในระดับพื้นที่ได้อย่างมืออาชีพ และไม่หยุดที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคนทำงานจะได้ยกระดับการทำงานได้อย่างมืออาชีพต่อไป หลังจากนี้เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อว่า ผู้เข้าร่วมอบรมครั้งนี้ จะสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมครั้งนี้ ไปสร้างผลงานได้ย่างสวยงามมากน้อยเพียงใด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถสื่อสารสร้างการเปลี่ยนต่อสังคมได้อย่างยั่งยืนต่อไป…

    Credit : www.sdnthailand.com