จักรวาลเปรต และชิงเปรต ในประเพณีความเชื่อเดือนสิบ

เรียบเรียง ศุภกิตติ์ คุณา

เรื่องราวของเปรตนั้น ผู้อ่านหลายท่านพอจะลองจินตนาการถึงเปรตหรือเคยเห็นจากตำรานิทาน ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ที่ว่าพูดจาโกหกตายไปจะเกิดเป็นเปรตรูปากเล็ก ซึ่งลักษณะของเปรตในประเทศไทย เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมานั้น เปรตจะมีลักษณะตัวผอม มือใหญ่เท่าใบลาน และมีความสูงราว ๆ กับต้นไม้สูงหรือสูงเท่ากับต้นตาล มีปากเล็กเท่ารูเข็ม คอยาว ตามคำบอกเล่าเรื่องผีว่า หากครั้งเมื่อมีชีวิตอยู่ตายไปจะได้เป็นเปรต จากข้อมูล ผศ.เตือน พรหมเมศ เรื่องความเชื่อเรื่องเปรตกับสังคมไทย

สังคมไทยมีความใกล้ชิดกับเปรตมายาวนาน โดยเฉพาะภาคใต้ของไทย ที่ยังมีความเชื่อความข้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น เช่น ประเพณีชิงเปรต ในบุญสารทเดือนสิบของทุกปี ซึ่งจะมีการมีการทำขนมประเภทต่าง ๆ นอกจากความเชื่อของขนม 5 อย่างในการจัดหมฺรับแล้วนั้น ในความเชื่อของการชิงเปรต ขนมแต่ละอย่างก็มีความหมายสอดคล้องกับลักษณะของเปรตแต่ละพวก เช่น ขนมลา จะมีลักษณะเป็นเส้นเล็ก ๆ ให้เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม ขนมเจาะหู เป็นวงกลมให้เปรตพวกมีนิ้วเพียงนิ้วเดียว จะได้เอานิ้วร้อยถือไปได้ ทำขนมพองให้เป็นเรือสำหรับเปรตไปสู่ยมโลก เป็นต้น

จักรวาลเปรต

คำว่า “เปรต” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต และในภาษาบาลีใช้คำว่า “เปตะ” ซึ่งซึ่งรับมาจากประเทศอินเดียอีกที โดยความเชื่อเรื่องเปรตถูกเผยแพร่ผ่านพระพุทธศาสนา ทำให้ความเชื่อเรื่องเปรตในประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับคำว่าเปรตอย่างใกล้ชิดในเชิงวัฒนธรรมและยังมีความข้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น เช่น ประเพณีชิงเปรต ในบุญสารทเดือนสิบของคนไทยภาคใต้

เรื่องจักรวาลของเปรตนั้น ไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์หรือโลกผี แต่มีภูมิถูกแยกออกไปเป็นของตัวเองที่เรียกว่า “เปตติวิสยภูมิ” หรือ “ภูมิเปรต” ซึ่งเป็นโลกที่อยู่ห่างไกลจากความสุข ไม่มีสถานที่อยู่ที่แน่นอนและชัดเจน เปรียบได้กับการอยู่ในสภาวะลอยแล่น ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย ตามตำนานที่บันทึกไว้ ที่ป่าหิมพานต์ มีเมืองชื่อวิชาตอยู่เหนือนรกขึ้นมา เมืองนี้เป็นที่อยู่แห่งเปรตทั้งหลาย แสดงว่า เปรตถูกแบ่งแยกออกจากผีธรรมดาทั่วไป หรือถูกแยกออกจากภูมินรก มีเมืองอยู่โดยเฉพาะ มีเปรตชื่อมหิทธิกาเป็นอธิบดีปกครองเปรตทั้งหลาย โดยเปรตถูกแบ่งจำนวนออกเป็น 12 พวกด้วยกัน และแต่ละพวกก็มีกรรม คือ การประพฤติการปฏิบัติอันมิชอบมิควรต่างกัน เมื่อตายจากมนุษย์ก็ถูกแยกประเภทให้ไปอยู่พวกนั้นพวกนี้ตามกรรมที่ทำไว้

ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ยังชี้ให้เห็นว่า ในความเชื่อของคนไทย “เปรต” ก็คือ “ผี” ชนิดหนึ่ง จึงมักเรียกรวมๆ ว่า “ผีเปรต” เช่นเดียวกับผีกระสือ ผีกระหัง หรือผีปอบ แต่ความจริงแล้ว ผีทั้งหมดที่กล่าวมาจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเปรต แสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่ได้แยกแยะระหว่างเปรตกับผีประเภทอื่นๆ อย่างชัดเจน

ความหมายของ “เปรต” ในฎีกาและวรรณกรรมพุทธศาสนาไทย เปรตมักถูกบรรยายด้วยรูปร่างลักษณะที่น่าเกลียดน่ากลัว อดอยากหิวโหย จนกลายเป็นสำนวนที่คนไทยใช้กันว่า “สูงเหมือนเปรต” หรือ “ผอมเหมือนเปรต” เพื่อเปรียบเทียบคนที่มีรูปร่างผอมแกร็นผิดปกติ แนวคิดเรื่องเปรตวิสัยมีความสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา โดยถูกจัดให้เป็น 1 ใน “คติ 5” ซึ่งเป็นแดนหลังความตายของสัตว์ผู้เวียนว่ายตายเกิด ประกอบด้วย นรก กำเนิดดิรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์ และเทวดา

เปรตวิสัย จัดเป็น “ทุคติ” หรือแดนของผู้ทำชั่ว แต่อยู่ในสถานภาพที่ดีกว่ากำเนิดดิรัจฉานและนรก ที่น่าสนใจคือ เปรตวิสัย เป็นเพียงทุคติเดียวที่สามารถรับส่วนบุญกุศลที่มนุษย์อุทิศให้ได้ นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดประเพณีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับในสังคมไทย โลกของเปรตจึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่าโบราณ แต่เป็นระบบความเชื่อที่มีโครงสร้างชัดเจน มีผลต่อพิธีกรรมและประเพณีของคนไทยมาจนถึงปัจจุบัน

จากการศึกษาวิจัยของพระมหาอุทิศ ศิริวรรณ ในปี พ.ศ. 2536 เรื่อง “เปรตในพระไตรปิฎก” ได้เปิดเผยแนวคิดและความเชื่อเรื่องเปรตในพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในบริบทของสังคมไทย ซึ่งระบุว่าการเกิดเป็นเปรตมีสาเหตุมาจากการกระทำบาป 3 ประเภทหลัก บาปประเภทแรก คือ กายทุจริต หรือบาปที่กระทำด้วยร่างกาย ได้แก่ การฆ่าสัตว์ การลักขโมยทรัพย์สิน และการประพฤติผิดในกาม ผู้ที่ทำบาปหนักทางกายจะไม่ไปเกิดเป็นเปรตทันที แต่จะต้องไปเกิดในนรกก่อน เมื่อวิบากกรรมเริ่มเบาบางลงจึงจะค่อยๆ “เลื่อนชั้น” ขึ้นมาเกิดเป็นเปรต เปรียบได้กับการรับโทษจำคุกก่อน แล้วจึงมาติดภาคทัณฑ์ในภายหลัง ตัวอย่างที่ปรากฏในคัมภีร์ เช่น เรื่องของเปรตที่เคยเป็นคนฆ่าโค หรือคนที่เคยฆ่านก ล้วนแสดงให้เห็นว่าการทำร้ายสิ่งมีชีวิตนำไปสู่ผลกรรมที่รุนแรง บาปประเภทที่สอง คือ วจีทุจริต หรือบาปที่กระทำด้วยคำพูด เช่น การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด และการพูดคำหยาบ แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ การพูดเพ้อเจ้อไม่ถือว่าเป็นสาเหตุโดยตรง ผู้ที่ทำบาปทางวาจามักจะ “ข้ามขั้น” ไปเกิดเป็นเปรตโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านนรกก่อน เรื่องราวประเภทนี้ปรากฏมากที่สุดในเปตวัตถุ ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ เรื่องของเปรตที่มีขนเป็นเข็ม ซึ่งเกิดจากการที่ชอบพูดส่อเสียดคนอื่นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ บาปประเภทสุดท้าย คือ มโนทุจริต หรือบาปที่เกิดจากจิตใจ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ โลภะ คือ ความตระหนี่และการหวงแหนทรัพย์สิน ความโลภนี้ทำให้คนไม่ยอมแบ่งปันหรือทำบุญ โทสะ คือความอาฆาตพยาบาท ความโกรธแค้นที่ฝังลึกในใจ โมหะ คือความหลงผิด การไม่เชื่อในโลกนี้โลกหน้า ไม่เชื่อในผลของการทำบุญ และจากการศึกษาพบว่า โลภะและโมหะเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดเป็นเปรต ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเรื่องของเปรตสังสารโมจกและนางเสรินีเปรต ที่ไม่ยอมทำบุญเพราะความตระหนี่

ความเชื่อเรื่อง “เปรต”
ในพิธีกรรมและประเพณีไทย

ความเชื่อเรื่องเปรต ยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย ที่สะท้อนผ่านพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆในประเทศไทย ซึ่งแบ่งเป็นพิธีกรรมและประเพณีหลักดังต่อไปนี้

  • พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย เป็นพิธีที่ชาวพุทธไทยยึดถือปฏิบัติมานาน เช่น การสวดพระอภิธรรม ทำบุญครบรอบ 7, 50, 100 วัน การถวายสังฆทาน และการบวชพระเณรให้ผู้ตายได้เกาะชายผ้าเหลือง ซึ่งความเชื่อเรื่องญาติที่ล่วงลับอาจไปเกิดเป็นเปรตทำให้เกิดพิธีเหล่านี้ขึ้น
  • คตินิยมว่าด้วยการกรวดน้ำ การกรวดน้ำเป็นส่วนสำคัญของการทำบุญทุกครั้ง เพื่อ “อุทิศ” ส่วนกุศลส่งไปให้ผู้ล่วงลับ โดยเฉพาะเปรต ดังที่ปรากฏใน “ปรมัตถทีปนิ” และ “สังคีติยวงศ์” ซึ่งกล่าวถึงน้ำทักขิโณทกที่ใช้เพื่ออุทิศทานให้แก่ญาติที่ตายแล้วและเปรต
  • พิธีอนุโมทนา การอนุโมทนาของพระสงฆ์ โดยเฉพาะ “ติโรกุฑฑกัณฑคาถา” ในงานอวมงคล เป็นการอุทิศบุญให้แก่ผู้ล่วงลับ แสดงถึงการขอบคุณผู้ถวายทานและการแผ่ส่วนบุญให้เปรตชน
  • ประเพณีสงกรานต์ มีพิธีทำบุญตักบาตร ก่อพระทรายเข้าวัด (เพื่อแก้เคล็ดจากการนำทรายออกจากวัดโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นเปรต) และบังสุกุลอัฐิ/กระดูกญาติ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ
  • ประเพณีสารทไทย จัดขึ้นในเดือน 10 เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ “เปรตชน” หรือ “ปรทัตตูปชีวีเปรต” (เปรตที่อาศัยส่วนบุญที่ผู้อื่นอุทิศให้) ซึ่งเป็นประเพณีที่เน้นการรำลึกถึงญาติผู้ล่วงลับอย่างชัดเจน
  • ประเพณีชิงเปรต ในวันสารทเดือนสิบ ภาคใต้ของไทย เป็นประพณีสำคัญ เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้เปรตชน (ปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว) และที่ไม่มีญาติด้วย

ความเชื่อเรื่องเปรต ยังสะท้อน แฝงการมีคุณธรรม  เช่น ความกตัญญู ความเกรงกลัวบาป ความมีน้ำใจ การบูชา และความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างญาติมิตร ชุมชน และวัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความสงบสุขในสังคมไทย และเน้นย้ำถึงกฎแห่งกรรม “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

หากพูดเรื่องเปรต ที่คนไทยรู้จักกันอย่างดี นั้นก็คือ เปรต วัดสุทัศน์ (วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร) เนื่องจากมีการนำเรื่องราวมาผลิตเป็นละครโทรทัศน์ฉายทางช่อง 7 สี โดยดีด้าวิดีโอโปรดักชั่น จากบทประพันธ์ของบุราณ เขียนบทโทรทัศน์โดยกาลปักษ์ และกำกับการแสดงโดยนนทนันท์ สังข์สวัสดิ์ ออกอากาศปี พ.ศ. 2546 และถูกนำมาสร้างใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2555 โดยมีที่มาเรื่องเล่าพื้นบ้านของสยามมักบรรยายภาพของเปรตว่าเป็นผีหิวโหยตัวสูงตระหง่าน มีรูปร่างผอมแห้ง และมีเสียงโหยหวนอันน่าสะพรึงกลัว อีกทั้งยังมีเรื่องเล่าปากต่อปากว่าเคยมีผู้พบเจอเปรตที่ปรากฏหน้าวัดแห่งนี้ในตอนกลางคืน และในควาคิดเห็นอีกมุมมอง ก็สะท้อนว่า เป็นเพียงเสาชิงช้าหน้าวัด ที่มีลักษณะสูงเหมือนเปรตก็เป็นได้

ชิงเปรต
ประเพณีเดือนสิบภาคใต้

เคยมีข้อสงสัยหรือตั้งคำถามเหมือนกันไหมว่า ทำไมต้อง ชิงเปรต แล้วมีที่มาอย่างไร ในตัวผมเองในฐานะผู้เขียนเป็นคนภาคเหนือ ในตอนนั้นที่ได้ยินครั้งแรก ราว ๆ สมัยประถมศึกษา ก็จะตีความได้ว่า เป็นการชิงหรือแย่งชิง จนได้มาค้นคว้าและทำข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีเดือนสิบของภาคใต้ ซึ่งประเพณีชิงเปรต เป็นประเพณีสืบเนื่องในช่วงเทศกาลวันสารทเดือนสิบของชาวภาคใต้ โดยทำร้าน จัดหฺมฺรับ (สำรับ) อาหารคาวหวาน (หมฺรับ) ไปวางเพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปให้เปรตชน ปู่ ย่า ตา ยาย และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว

“เปรต” ในหลาเปรตวัดพระธาตุ ซึ่งเป็นบุญสารทเดือนสิบที่นครศรีธรรมราช ข้อมูลจากวันพระ สืบสกุลจินดา อธิบายความหมายของคำว่า “เปรต” เป็นคำกลาง ๆ สามัญ สำหรับใช้เรียกผู้ล่วงลับไปแล้วไม่เว้นใคร ไม่ว่าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่จะกอปรกรรมดีหรือประพฤติชั่ว ล้วนเรียก “เปรต” ทั้งสิ้น มาจากภาษาบาลีว่า “เปตะ” แปลว่า ละไปแล้ว ผู้ละไปแล้วเรียก “เปตชน”

ข้อมูลศึกษาความเชื่อเรื่องเปรตในประเพณีสารทเดือนสิบ กรณีศึกษาประชากรตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชของวิญญชูน เฮ่าตระกูล ระบุข้อมูลเปรตที่ชาวจังหวดันครศรธีรรมราชได้ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปในวันสารทเดือนสิบนั้น คือ “ปรทัตตูปชีวีเปรต” ซึ่งปรทัตตูปชีวีเปรตเป็นเปรตจำพวกเเดียวเท่านั้นที่อาจจะรับส่วนบุญกุศลที่ญาติมิตรของตนเองอุทิศให้ จึงทําให้เกิดเป็นประเพณีสารทเดือนสิบที่มีวัตถุประสงค์หลักคือการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลใหแก่บรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับไปแล้วและได้มีการปฏบิติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

การตั้งเปรตและชิงเปรตจะกระทำในวันที่ยกหฺมฺรับไปวัดไม่ว่าจะเป็นวันแรม 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ เดือนสิบก็ตาม หรือเรียกว่าวันส่งตายาย วันส่งเปรต ผู้ตั้งเปรตจะนำอาหารอีกส่วนหนึ่งไปเพื่อการตั้งเปรตด้วย อาหารที่ใช้ตั้งเปรตนี้ส่วนมากจะเป็นอาหารที่บรรพบุรุษที่เป็นเปรตชอบอย่างละนิดละหน่อย ขนมที่ไม่ค่อยขาด คือ ขนม 5 อย่าง ประกอบด้วย ขนมลา ขนมพอง ขนมบ้า ขนมดีซำ และขนมไข่ปลา นอกจากขนมดังกล่าวแล้ว ยังมีอาหารแห้งและของแห้งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตที่นำจัดไปด้วย เช่น ผลไม้ เงินทอง ข้าวสาร หอม กระเทียม พริก เกลือ กะปิ น้ำตาล ปลาเค็ม กล้วย อ้อย มะพร้าว และธูปเทียน นำลงจัดในหฺมฺรับ โดยเอาของแห้งดังกล่าวรองก้นและอยู่ภายใน ส่วนขนมทั้งหลายอยู่ชั้นนอกปิดคลุมด้วยผืนลาทำเป็นรูปเจดีย์ยอดแหลม หรือรูปอื่นใดแล้วแต่การประดิษฐ์ของผู้จัด ซึ่งไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัว ส่วนภาชนะที่ใช้ในสมัยดั้งเดิมจะนิยมใช้กระเชอหรือถาดนำหฺมฺรับที่จัดแล้วไปวัดรวมกันตั้งไว้บนหลาเปรต หรือ ร้านเปรต

หลังจากหลองหมฺรับและถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสงฆ์เรียบร้อยแล้ว จะมีการตั้งเปรตซึ่งแต่เดิมจะกระทำโดยการนำเอาอาหารส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด ตรงริมทางเดินบ้าง บริเวณประตูวัดหรือกำแพงวัดบ้าง หรือตามโคนต้นไม้บ้าง ภายหลังได้มีการสร้างร้านขึ้นมาสูงพอสมควรใช้สำหรับให้พุทธศาสนิกชนนำอาหารที่จะตั้งเปรตไว้รวมกัน เป็นสถานที่กลางเฉพาะที่จัดเตรียมไว้สำหรับพิธีกรรมนี้ เรียกว่า “หลาเปรต” หรือ “ร้านเปรต”

ในขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์ดึงสายสิญจน์เป็นสัญญาณเสร็จสิ้นพิธีกรรม ผู้ที่มาร่วมทำบุญ ทั้งหนุ่มสาว เฒ่าแก่ และโดยเฉพาะเด็ก ๆ จะเข้าไปรุมกันแย่งขนมที่ตั้งเปรตนั้นด้วยความสนุกสนาน เชื่อกันว่าการแย่งขนมเปรตที่ผ่านการทำพิธีแล้วนี้จะได้กุศลแรงเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวยิ่งนัก และยังเชื่อกันต่อไปว่าขนมเหล่านี้ถ้านำไปหว่านในสวนในนาจะทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์เพิ่มผลผลิตสูง โดยเฉพาะขนมเทียน บางแห่งนำไปติดไว้ตามต้นไม้ผลเพื่อจะให้มีผลดก นอกจากมีการจัดทำร้านเปรตไว้ดังกล่าวแล้ว จึงเรียกว่าเป็นการ “ชิงเปรต”

บางพื้นที่ยังมีการทำหลาเปรตอีกลักษณะหนึ่ง คือจัดสร้างขึ้นในบริเวณวัด ไม่ห่างไกลจากร้านเปรตกลางวัดเท่าใดนักโดยใช้ลำต้นของไม้หมาก หรือไม้ไผ่ หรือไม้หลาโอน (เหลาชะโอน) ยาวประมาณ 3 เมตร เอาเปลือกหยาบภายนอกออกตบแต่งให้ลื่น ถ้าเป็นไม้ไผ่มักใช้ไม้ไผ่ตงเพราะลำใหญ่ ไม่ต้องเอาผิวออก เพียงแต่เกลาข้อออกและใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมจนทั่วเพื่อเพิ่มความลื่นให้มากขึ้น เอาโคนเสาฝังดิน ปลายเสาใช้ไม้ทำแผงติดไว้ พร้อมกับผูกเชือกไว้ใต้แผง ปลายเชือกผูกขนมต่าง ๆ ของเปรตห้อยไว้ จัดให้บุตรหลานที่เป้นผู้ชายของเปรตชนปีนขึ้นไปชิงขนมเหล่านั้นแทนเปรต ใครปีนขึ้นไปชิงได้มากก็ให้รางวัลมาก ใครได้น้อยให้รางวัลน้อยลดลงตามส่วน จัดผู้ปีนให้ขึ้นไปทีละคนโดยให้นุ่งแต่ผ้า ห้ามสวมเสื้อ และห้ามสวมรองเท้า ทั้งนี้เกรงเสื้อและรองเท้าจะเช็ดน้ำมันออกเสียเมื่อปีนขึ้นไปจะทำให้ความลื่นลดลง  ก็จัดเป็นการเล่นที่สนุกสนานมาก น้อยคนที่จะปีนขึ้นไปได้ เพราะส่วนใหญ่จะลื่นตกลงมา การปีนเสาขึ้นชิงเปรตนี้ จะกระทำหลังจากร่วมชิงกันที่ร้านเปรตแล้ว เสาที่ทำดังกล่าวก็ถือกันว่าเป็นร้านเปรตอีกชนิดหนึ่ง เพียงแต่มีเสาเดียวและอยู่สูง ขึ้นชิงได้เพียงครั้งละคน ไม่เหมือนกับร้านเปรตเตี้ย ๆ ซึ่งไม่ต้องปีนป่ายขึ้นไปก็สามารถเข้าชิงได้พร้อมกัน หลังจากกิจกรรมการปีนเสาเสร็จสิ้นลง มักจะมีผู้ใจบุญโปรยทานด้วยการ “หว่านกำพรึก” คือการโปรยทานโดยใช้เหรียญสตางค์โยนไปทีละมาก ลงไปในฝูงชน ทำให้เกิดการแย่งกันอย่างสนุกสนาน เป็นการปิดท้ายกิจกรรมด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของผู้คนในงานเดือนสิบ ซึ่งการชิงเปรตในลักษณะนี้จะกระทำภายหลังการชิงเปรตร่วมกันที่หลาเปรตแล้ว

ตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนได้เล่าให้ฟังและยืนยันว่า การชิงเปรตไม่เป็นความอัปมงคลแก่ผู้ชิงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามถือว่าเป็นการบุญด้วยซ้ำไป เพราะเชื่อกันว่าบุตรหลานของเปรตตนใดชิงได้ เปรตตนนั้นย่อมได้รับส่วนนั้น เพียงแต่ว่าผู้ชิงต้องระมัดระวังในการที่อาหารหรือขนมที่ตั้งเปรตอาจตกหล่นลงพื้น ซึ่งจะทำให้เกิดความสกปรกและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

นอกจากนี้ยังมีเปรตชนอยู่อีกพวกหนึ่งซึ่งมีบาปหนา ไม่กล้าเข้าไปรับอาหารที่ลูกหลานเอาไปวางไว้ให้บนร้านเปรตในเขตวัด ได้แต่เลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่ริมรั้วชายวัด บรรดาลูกหลานทั้งหลายจึงได้นำอาหารขนมดังกล่าวไปตั้งเปรตกันนอกเขตวัด เป็นการตั้งเปรตแบบวางกับพื้นดิน ตั้งให้เปรตชนบนพื้นดิน พื้นหญ้าหรือตามคาคบไม้เตี้ย ๆ เมื่อตั้งเปรตแล้วลูกหลานอาจแย่งชิงกันก็เป็นอันเสร็จสิ้นการชิงเปรตสำหรับปีนั้น บรรดาเปรตชนทั้งหลายก็ได้รับส่วนบุญซึ่งลูกหลานอุทิศให้และชิงให้ แล้วกลับไปสู่เปรตภูมิ คอยโอกาสจะได้กลับมาพบลูกหลานอีกในวันชิงเปรตปีต่อไป


ข้อมูลอ้างอิง

  • กิตติภูมิ จันทโชติ, . (2566, ตุลาคม 14). ภาพหลาเปรต. Facebook: Kittipoom – กิตติภูมิ.
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (ไม่ระบุปี). เปรตและชิงเปรตในประเพณีความเชื่อเดือนสิบ. Digiverse Chulalongkorn University. https://digiverse.chula.ac.th/Info/item/dc:64931
  • นิตยสารสารคดี. (2543, กรกฎาคม). เปรตผี. สารคดี. https://www.sarakadee.com/feature/2000/07/pret-ghost.htm
  • วันพระ สืบสกุลจินดา, (ไม่ระบุปี). ข้อมูลเรื่องเปรต. สารนครศรีธรรมราช.
  • The Active (ไม่ระบุปี). ประเพณีเดือนสิบ. The Active. https://theactive.thaipbs.or.th/read/ten-month-tradition
  • องค์กรกัลยาณมิตร. (ไม่ระบุปี). ความเชื่อเรื่องเปรตในพระพุทธศาสนา. https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=8450
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช. (2549). สารนครศรีธรรมราช ฉบับพิเศษ เดือนสิบ ’49 ที่ระลึกในการจัดงานประเพณีเทศกาลเดือนสิบของจังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปี 2549. โรงพิมพ์เอดิสันเพรสโปรดักส์.
  • วิญญชูน เฮ่าตระกูล, (2549). ศึกษาความเชื่อเรื่องเปรตในประเพณีสารทเดือนสิบ: กรณีศึกษาประชากรตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช.
  • สารนครศรีธรรมราช ฉบับพิเศษ เดือนสิบ ’49 ที่ระลึกในการจัดงานประเพณีเทศกาลเดือนสิบของจังหวัดนครศรีธรรมราช ประจำปี 2549. โรงพิมพ์เอดิสันเพรสโปรดักส์.
  • เว็บไซต์ทุ่งสง. (ไม่ระบุปี). ประเพณีตั้งเปรต. จังหวัดนครศรีธรรมราช. https://www.tungsong.com/NakhonSri/Tradition_NakhonSri/ตั้งเปรต/Index_02ตั้งเปรต.htm
  • พระมหาอุทิศ ศิริวรรณ. เปรตในพระไตรปิฎก (2536). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ผศ.เตือน พรหมเมศ ความเชื่อเรื่องเปรตกับสังคมไทย. มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

นักสื่อสารสุขภาวะดิจิทัล และ Data Journalism