
เรื่องโดย : ประสงค์ แสงงาม และศุภกิตติ์ คุณา
ประเพณียี่เป็งของชาวล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ของภาคกลาง โดยคำว่า “ยี่” หมายถึง “สอง” และ “เป็ง” หมายถึงพระจันทร์เต็มดวง ยี่เป็งของชาวล้านนามีความเชื่อมโยงกับตำนานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) และพระศรีอริยเมตไตรย ตามตำนานกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งห้าองค์ ถือกำเนิดจากแม่กาเผือก ทำให้การจุดผางประทีป หรือ “ต๋ามผางปะทีป” เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เป็นกิจกรรมสำคัญที่บูชาพระเจ้าห้าพระองค์ในประเพณียี่เป็ง ชาวบ้านจะประดับบ้านเรือนและวัดด้วยโคมแขวน (โกมยี่เป็ง) และจุดบูชาผางประทีป สร้างบรรยากาศที่งดงามทั่วเมือง และยังมีการสร้างซุ้มประตูป่าที่ประดับด้วยใบมะพร้าว ต้นกล้วย และโคมยี่เป็ง เพื่อจำลองป่าหิมพานต์ในการต้อนรับพระเวสสันดรเสด็จกลับสู่เมือง
ประเพณียี่เป็งไม่เพียงแสดงถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ยังสะท้อนถึงความกตัญญูและการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวล้านนา กิจกรรมต่าง ๆ ในประเพณีนี้ เช่น การจุดผางประทีป การสร้างซุ้มประตูป่า และการประดิษฐ์โคมแขวน แสดงถึงความร่วมมือและความสามัคคีของชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น

การทำโคม หรือชาวล้านนา ภาคเหนือจะเรียกว่า “โกม” ที่ทำในช่วงประเพณียี่เป็งของชาวล้านนา มีที่มาก็ต้นเรื่องเดียวกัน ในเรื่องของการถวายผางประทีปเป็นพุทธบูชาของชาวล้านนา โดยตัวโคมทำหน้าที่กำบังลม ไม่ให้ไฟที่จุดผางประทีปดับ ฉะนั้นการถวายโคมหรือการทำโคมของคนล้านนาจึงเกิดเป็นงานศิลปะที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบทรงต่างๆที่คนล้านนาได้สร้างสรรค์หรือออกแบบ แต่ว่าทำการทำโคม ใช้โคมไม่ได้มีเฉพาะทางล้านนา ซึ่งไปในเขตเมียนมาร์ ในเขตไทยใหญ่ ในเขตฝั่งประเทศลาวไปจนถึงประเทศจีน แล้วรวมถึงต้นกำเนิดทางพระพุทธศาสนาอย่างศรีลังกา ก็มีรูปแบบโคมที่น่าจะมีที่ไปที่มาหรือว่าความเชื่อในการถวายผางประทีปเหมือนชาวล้านนา ที่ทำให้ประทีปเวลามันอยู่โคมแล้ว จะไม่เกิดลมกระทบ ที่ทำให้ประทีปนั้นดับ
การออกแบบเป็นรูปแบบต่างๆเกิดขึ้นมากมาย โคมที่คนล้านนานิยมกันมากที่สุด ก็คือ โคมรังมดแดง หรือชาวเหนือจะเรียกว่า โคมฮังมดส้ม หรือว่า โคมแปดเหลี่ยม บางทีก็อาจจะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ที่จังหวัดลำปางก็จะเรียก โคมบะฟักหรือ โคมลูกฟัก เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลูกฟัก เป็นต้น ก็เรียกว่าเป็นโคมที่เราเห็นได้ทั่วไปในแดนล้านนา ดังนั้นการถวายโคมของชาวล้านนา วัตถุประสงค์หลักของโคมเพื่อที่จะไม่ให้ไฟของผางประทีปที่จุดบูชาในโคมนั้นดับ ส่วนรูปทรงต่างๆของโคมที่เรามักจะเห็นในช่วงเทศกาลยี่เป็งของชาวล้านนานั้น เป็นการสร้างสรรค์ หรือการจินตนาการรูปแบบความงดงามให้รูปแบบทรงต่างๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่นที่จะสร้างสรรค์ เป็นศิลปะของตัวเองขึ้นมา บางพื้นที่ก็จะเป็นลักษณะเฉพาะ จนสามารถเรียกว่าเป็นประเภทของโคมกลุ่มคน หรือกลุ่มชาติติพันธุ์นั้นๆ เช่น โคมเงี้ยว ของคนไทใหญ่เมื่อเกิดการเผยแพร่ในดินแดนล้านนา ก็จะนิยมเรียกชื่อโคมที่มีลวดลายหรือรูปทรงประเภทนั้นว่า โคมเงี้ยว ของของกลุ่มคนเงี้ยวหรือชาวเงี้ยว ที่สร้างสรรค์มีรูปแบบเฉพาะของตนเอง
การใช้โคมยี่เป็งในยุคปัจจุบัน มีการสร้างสรรค์ต่อยอดจากความเชื่อดั้งเดิม ที่ชาวล้านนามีความเชื่อว่าเป็นการบูชาพุทธเจ้าห้าพระองค์ บูชาแม่กาเผือก ตามการอานิสงส์บูชาผางประทีปของชาวล้านนา ปัจจุบันมีการนำโคมลักษณะรูปแบบที่มีความหลากหลายมาใช้ในการตกแต่งประดับเมือง เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว แขกบ้านแขกเมืองในช่วงเทศกาลประเพณียี่เป็งของชาวล้านนา จะเห็นว่าโคมล้านนาเริ่มมีการนำไปใช้ประดับในส่วนของสถานที่โรงแรม อาคารสถานที่ต่างๆตามหน่วยงานราชการหรือสวนสาธารณะต่างๆมากมาย บางพื้นที่ใช้โคมสร้างเป็นงานมหกรรรมเฟสติวัลใหญ่ๆ เกิดขึ้น

รูปแบบของโคมล้านนา
ความนิยมส่วนมากที่เรามักจะเห็นการนำโคมแขวนส่วนใหญ่แล้วนั้น ดั่งที่ได้อธิบายไว้ข้างต้นว่าจะเป็น โคมรังมดส้ม ที่ได้รับความนิยมนำไปจัดเทศกาลในประเพณียี่เป็งของชาวล้านนา บางท้องถิ่นก็เรียกว่า โคมบะฟัก หรือว่า ลูกฟักทอง บางท้องที่ก็เรียกว่า โคมธรรมจักร หรือว่า โคมแปดเหลี่ยม เนื่องจากลักษณะของโคม มีการหักตามสัดส่วนเป็นลักษณะแปดเหลี่ยม ตามความเชื่อในบางแห่งก็เชื่อมโยงกับทางความเชื่อคำสอนของทางพระพุทธศาสนาในเรื่องของมรรค มีองค์ 8 เอามาเชื่อมโยงว่า ถ้าถวายโคมนี้เป็นพุทธบูชาก็เหมือนได้ถวาย ความศรัทธาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปด้วย
โคมกระบอก หรือว่า โคมบอก ของทางเหนือ บางท้องถิ่นก็เรียกว่า โคมปรอท หรือว่า ลูกสลอด ในภาษากลาง เป็นลักษณะทรงกลมเหมือนกระบอกซึ่งมักนิยมทั่วไปในสมัยก่อน เพราะว่าสามารถทำได้ง่าย เด็กๆ สามารถทำได้ เป็นทรงกลม แล้วก็ใส่กระดาษแข็งปิดท้ายอยู่ด้านในของตัวโคม เพื่อจุดผางประทีปไว้ จากนั้นก็นำไปแขวนประดับบ้านหรือว่าตั้งซุ้มประตูป่า
โคมบั้ง มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม คล้ายๆกับทรงกระบอกเหมือนโคมกระบอกที่เป็นทรงกลม แต่โคมบั้ง มีลักษณะทรงเป็นกล่องกระบอกสี่เหลี่ยม สามารถพบโคมบั้งได้ทั่วไป วิธีการทำโครงสร้างไม่ซับซ้อน บ้างก็มีการติดลวดลายประดับ
โคมร่ม หรือ โคมจ้อง ในภาษาล้านนา ซึ่งครั้งแรกที่เคยจากพ่อน้อยสิงห์แก้ว มโนเพ็ชร (พ่อของจรัล มโนเพ็ชร) เป็นสล่าหรือว่าครูช่างที่ทำโคมและประดิษฐ์ขึ้น พ่อครูบอกว่า โคมจ้องมีมาตั้งแต่ต้นแบบโบราณ มีลักษณะเป็นโคมธรรมจักรหรือว่าโคมแปดเหลี่ยม แต่จะทำตัวโครงข้างบนคล้ายๆตัวร่มออกมา เลยนิยมเรียกว่า โคมร่ม หรือโคมจ้อง เพียงแค่เพิ่ม ตัวส่วนร่มข้างบนเข้ามา และในปัจจุบันมีการแต่งเติมรูปทรงให้มีความละเอียดสวยงามมากขึ้น การทำร่มหรือจ้องขึ้นมาในการมุงของโคม นอกจากเพื่อความสวยงาม อาจจะมีในส่วนของการช่วยเป็นกำบังลมที่ผ่านเข้ามาทางด้านบน อาจจะทำให้ไฟที่จัดประทีปในตัวโคมดับได้ และรูปทรงของโคมร่มนั้นมีมีขนาดใหญ่กว่าโคมแขวนแบบอื่นๆ ส่วนมากมักจะพบเห็นตามแหล่งสถานที่สำคัญหรือบ้านเรือนของผู้มีฐานะในสมัยก่อน
โคมเงี้ยว หรือ โคมไต มีที่มาของโคมที่มาจากชาวไทใหญ่ ที่อยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งชาวไทใหญ่ได้อพยพมาอยู่ในดินแดนล้านนาอยู่หลายพื้นที่ อยู่หลายจังหวัด ซึ่งมีการประดิษฐ์โคมที่เป็นลักษณะโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อนกว่าโคมธรรมจักร หรือโคมพื้นเมืองของชาวล้านนา ซึ่งจะมีการหักโครงสร้างที่เป็นไม้ทบไปทบมา แล้วก็มีการซ้อนหลายชั้นเหมือนกับผสมกับโคมเพชร กับโคมแปดเหลี่ยมเข้าด้วยกัน ฉะนั้นโคมเงี้ยว จึงมีโครงสร้างค่อนข้างซับซ้อนและก็มีความเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นลักษณะของโคมที่ได้รับความนิยมในกลุ่มของคนไทใหญ่หรือว่าคนเงี้ยว สามารถพบเห็นโคมลักษณะนี้ได้ทั่วไปในดินแดนรัฐฉาน และในเขตวัฒนธรรมล้านนาทางภาคเหนือของประเทศไทย
โคมไห หรือ โคมเพชร มีลักษณะที่ค่อนข้างที่จะเป็นลักษณะทรงคล้ายไห มีปากบานออกคล้ายกลีบบัว มีเหลี่ยมรอบๆ ในตัวของโคมเหมือนเพชรที่ถูกเจียระไนอยู่ ในบางท้องที่ก็เรียกแบบภาษาพื้นบ้านชาวบ้านเรียกว่า โคมไห บางแห่งก็เรียกว่าโคมเพชร ซึ่งลักษณะทรวดทรงค่อนข้างเรียวทางปลายของมัน แล้วโผล่ขึ้นมาทั้งหัวก็จะบานออกเหมือนเพชรที่เจียระไน
โคมแป้น คำว่า “แป้น” คือลักษณะที่แบนเลียบ เหมือนหน้าแป้น ที่เราเห็นส่วนมากในล้านนาจะเป็นลักษณะกลมแบนโครงสร้างของโคมไม่ยุ่งยากซับซ้อน เป็นทรงคล้ายๆกับกลองที่เป็นหน้าแป้น หรือหน้าแบน สามารถพบเห็นได้ทั่วไป

โคมม่าน หรือ โคมม่านแปดเหลี่ยม
โคมม่าน หรือ โคมม่านแปดเหลี่ยม มีลักษณะที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวพม่า โครงสร้างก็จะมีลักษณะเฉพาะ รูปแบบคล้ายโคมของชาวจีน ในประเทศจีน ผสมผสานกับความเป็นไทยใหญ่ ความเป็นพม่า ทำให้มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นที่นิยมของกลุ่มคนชาวเมียนมาร์ ที่อาศัยอยู่ในดินแดนล้านนา และพบโคมลักษณะนี้ในพื้นที่จังหวัดลำปางเยอะ เพราะว่าสมัยก่อนคนเมียนมาร์ไปทำป่าไม้อยู่ที่จังหวัดลำปางนั่นเอง
โคมหูกระต่าย เป็นลักษณะโคมที่พบได้ทั่วไปในดินแดนล้านนาและในพื้นที่อยู่บริเวณประเทศใกล้เคียง เนื่องจากโคมชนิดนี้สามารถทำได้ง่ายและวัสดุค่อนข้างที่ไม่ซับซ้อน ใช้ไม้หรือเส้นลวดหักให้โค้งเหมือนหูของกระต่าย หรือว่าบางคนก็อาจจะทำให้ปลายแหลม ติดด้วยกระดาษแก้วหรือกระดาษสา และบางที่อาจจะเรียกชื่อเป็น โคมดอกบัว นิยมเอาปักเป็นแนวทางเดินเข้าไปสู่วัดวาอารามต่างๆ หรือนำไปตกแต่งซุ้มประตูป่า ในช่วงเทศกาลยี่เป็ง

โคมญี่ปุ่น
โคมญี่ปุ่น เป็นโคมที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวญี่ปุ่น ซึ่งรูปแบบการทำโคมจะทำมาจากกระดาษสาหรือกระดาษของชาวญี่ปุ่น แล้วก็พับย่อลง เวลาจะนำไปแขวน ใช้จุดผางประทีปวางข้างใน ก็ดึงยึดโคมที่พับย่นกางขึ้นมา โดยโคมจะมีรอยกลีบเป็นชั้นๆ ขึ้นมา บางคนก็เรียกว่า “โคมย่อ” คำว่า ย่อ คือ การรวบให้เหลือนิดเดียว แล้วก็เวลาจะจุดก็ขยายดึงขึ้นนะครับ ก็เป็นโคมที่มีขายทั่วไป ในสมัยโบราณนิยมเอามาแขวนทำซุ้มประตูป่าเป็นสีสันกระดาษสีต่างๆ สีสดใสค่อนข้างสดใสที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศญี่ปุ่น
โคมดาว เกิดจากการสร้างสรรค์ การจินตนาการของคนล้านนา มีลักษณะเป็นแฉกคล้ายดาว โดยรูปทรงจะเป็นทรงกลมคล้ายโคมแป้น แต่ทำแฉกออกมาให้เหมือนรูปดาว มีทั้งแบบห้าแฉก แปดแฉก แล้วแต่วิธีการสร้างสรรค์ของสล่าทำโคมยี่เป็ง ในบางพื้นที่ก็สามารถทำเป็นเก้าแฉก เป็นสัญลักษณ์เชิงตัวแทนพระอาทิตย์และดวงดาว ทำให้บางพื้นที่นั้นก็เรียกว่าโคมพระอาทิตย์ หรือ โคมตะวัน ส่วนที่นิยมและพบได้ทั่วไปก็จะเรียกโคมดาว

โคมผัด
โคมผัด หรือในภาษาภาคกลางเรียกว่า โคมหมุน คำว่า “ผัด” แปลว่า “หมุน” โคมผัด เป็นโคมที่ใช้ภูมิปัญญาในเรื่องของหลักการความร้อนของผางประทีปที่เราจุดในดวงโคม ความร้อนจะเข้าไปขับเคลื่อนใบพัดที่อยู่ข้างบนให้โคมนั้นหมุน ลักษณะส่วนใหญ่ของโคมผัดที่เราพบจะเป็นทรงกลม ทรงกระบอก และข้างในโคมผัดจะมีอีกชั้นหนึ่ง ปลายของกระบอกสมัยโบราณจะมีลักษณะเป็นถ้วยใบเล็กๆอยู่ข้างใน และในตัวกระบอกชั้นในจะเป็นปลายเข็ม เพื่อให้กระบอกนั้นหมุนขับเคลื่อนจากความร้อนของผางประทีป ส่วนเรื่องราวตัวลวดลายข้างในส่วนใหญ่ในสมัยก่อนจะทำเป็นเรื่องราวของพระเวสสันดรเป็นฉากต่างๆ บ้างก็ใช้ฉากพระเวสสันดรเสด็จกลับเข้าเมือง เป็นเรื่องราวที่ใช้ประกอบในการเทศนาธรรม เรื่องพระเวสสันดร หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตั้งธรรมหลวง ของชาวล้านนา ในปัจจุบันเรามักจะพบการทำโคมลักษณะ ติดกระดาษเป็นลวดลายสัตว์ หรือปีนักษัตรของชาวล้านนา และเมื่อเวลาจุดผางประทีปหรือว่าจุดเทียนข้างใน ก็จะเกิดการสะท้อนของเงาของรูปที่ไปติดอยู่ข้างใน ทำให้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของของเด็กๆในสมัยก่อน ราวสเหมือนกับสมัยก่อนไม่มีโทรทัศน์ หรือหาชมได้ยาก เด็ก ๆ ก็จะตื่นเต้นเมื่อได้มองเห็นโคมผัดและเรื่องราวข้างในโคมที่หมุน แล้วก็จะจินตนาการไปกับเรื่องราวที่พระเทศนาธรรมในช่วงประเพณียี่เป็ง

เทศกาลโคมแสนดวง
ที่จังหวัดลำพูน ใช้โคมยี่เป็งทำเป็นเทศกาลโคมอย่างยิ่งใหญ่ หรือเรียกว่า “เทศกาลโคมแสนดวง” ในเทศกาลจะมีการประดับโคมเป็นจำนวนมาก จังหวัดลำพูนจะเริ่มจากที่วัดพระธาตุหริภุญชัย จากนั้นก็แผ่ขยายลงไปสู่พื้นที่ชุมชนต่างๆรอบเมืองลำพูนและในหลากหลายอำเภอ ซึ่งการสร้างสรรค์โคมยี่เป็งหรือโคมล้านนาในลักษณะนี้เป็นการต่อยอดจากความเชื่อภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวล้านนา ในทางด้านเศรษฐกิจก็เกิดการส่งเสริมในเรื่องของรายได้สู่ชุมชนที่ยั่งยืนเนื่องจากมีการประดิษฐ์โคมแบบครบวงจร มีทั้งกระบวนการคิดในทั้งเรื่องของการนำโคมมาจัดแสดงเพื่อจะดึงดูดนักท่องเที่ยว และมีการวางแผนการกระจายรายได้ไปยังชุมชนต่างๆ ที่สนใจที่อยากจะร่วมผลิตโคมเข้ามาขายให้กับทางหน่วยงานหรือว่าทางวัดหรือว่าทางเทศบาลนำมาใช้ตกแต่งเมือง เกิดอาชีพและรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งเรียกได้ว่าโคมยี่เป็งก็เป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ ต่อเนื่องจากความศรัทธาที่เป็นการบูชาตามจารีตประเพณีของชาวล้านนา จนเกิดการสร้างสรรค์ที่ก่อเกิดรายได้ทางเศรษฐกิจ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจชุมชนมาจนถึงเศรษฐกิจระดับมหภาค หรือระดับเมือง

จังหวัดลำพูนเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่เป็นเส้นทางการบินที่อากาศยานใช้น่านฟ้าบินผ่าน และการปล่อยโคมลอยหรือว่าวไฟขึ้นฟ้า อาจจะเป็นวิธีการที่มีข้อจำกัด รวมถึงอาจจะทำให้เกิดอัคคีภัยต่างๆ หรือแม้แต่การสร้างขยะ ไร้การควบคุมและการดูแลที่ยากเมื่อปล่อยขึ้นไปบนน่านฟ้า โคมล้านนา ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกแห่งเข้ามาชมความงดงาม และเกิดรายได้สะพัดขึ้นในจังหวัดลำพูนไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่พัก ร้านอาหารต่างๆ หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ค้าต่างๆที่หาบเร่แผงลอย ที่อยู่บริเวณใกล้กับเทศกาลก็เกิดรายได้จากการจัดงานมหกรรมโคมแสนดวง จังหวัดลำพูนนี้ ถือว่าเป็นการต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมที่สร้างมูลค่าจากคุณค่าที่มาจากความเชื่อได้เป็นผลสำเร็จ และมีความยั่งยืน จากภูมิปัญญา ชาวบ้านเองก็ต่อยอดการเรียนรู้และผลิตทำโคมขายให้กับผู้ที่สนใจและหน่วยงานต่างๆ โดยมีการทำมาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน