
ในสังคมปัจจุบัน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นกิจกรรมที่พบได้ทั่วไป ทั้งในโอกาสสังสรรค์หรือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน แม้หลายคนจะทราบดีว่าแอลกอฮอล์มีโทษต่อร่างกาย แต่บางครั้งก็มองข้ามผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสุขภาพตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบประสาทและสมองในระยะสั้น แต่ยังส่งผลสะสมต่ออวัยวะหลายส่วน โดยเฉพาะตับ ที่หากได้รับแอลกอฮอล์เป็นประจำจะเกิดการทำลายเซลล์ตับจนนำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเท่านั้นจึงจะเสี่ยงต่อมะเร็งตับ แต่ในความเป็นจริง แม้แต่การดื่มในปริมาณน้อยหรือไม่ดื่มหนัก ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ภาวะไขมันพอกตับ หรือการรับประทานอาหารปนเปื้อนสารพิษ ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้เช่นกัน บทความนี้จึงมุ่งเน้นให้ผู้อ่านเข้าใจถึงอันตรายของแอลกอฮอล์ต่อตับ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ควรระวัง เพื่อการดูแลสุขภาพตับอย่างถูกต้องและปลอดภัย
ดื่มมาน้อยก็เสี่ยงได้
แม้การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยหรือไม่มาก ก็ยังเสี่ยงทำให้เกิดโรคตับได้ โดยเฉพาะในคนที่ดื่มเป็นประจำ เพราะแอลกอฮอล์ทุกชนิดไม่ว่าจะเหล้า เบียร์ หรือไวน์ จะไปทำร้ายเซลล์ตับ กระตุ้นให้เกิดไขมันสะสมในตับและตับอักเสบ ซึ่งหากดื่มต่อเนื่องจะทำให้เกิดพังผืดสะสมและตับแข็งในที่สุด
ข้อมูลจากแนวทางเวชปฏิบัติในเว็บไซต์ของสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย ระบุว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์วันละ 30-60 กรัม จะมีความชุกของการเกิดตับแข็งประมาณร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มมากกว่า 120 กรัมต่อวันซึ่งมีความชุกสูงถึงร้อยละ 5.7 นอกจากนี้มีการศึกษาติดตามผู้หญิงกว่า 400,000 คนเป็นเวลา 15 ปี พบว่าผู้ที่ดื่มมากกว่า 15 หน่วยมาตรฐาน (ประมาณ 220 กรัม) ต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงเกิดตับแข็งสูงกว่าผู้ที่ดื่มเพียง 1-2 หน่วย (30 กรัม) ต่อสัปดาห์ถึง 3.43 เท่า และหากดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่รับประทานอาหารร่วมด้วย จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับแข็งอีก 2.47 เท่า
นอกจากนี้ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์แม้ในปริมาณน้อยแต่ดื่มเป็นประจำก็อาจเกิดภาวะไขมันพอกตับและตับอักเสบเรื้อรังได้ หากไม่หยุดดื่ม ตับจะถูกทำลายสะสมจนกลายเป็นตับแข็งและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับในระยะยาว ดังนั้นแม้จะดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณไม่มาก ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคตับและมะเร็งตับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วม เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือภาวะไขมันพอกตับ ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อปกป้องสุขภาพตับ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ
มะเร็งตับ หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ (Hepatocellular carcinoma – HCC) เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยและมีอัตราการเสียชีวิตสูงทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย การเข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการป้องกัน การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก และการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงหลักของมะเร็งตับ ได้แก่
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรัง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของมะเร็งตับคือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) และไวรัสตับอักเสบซี (HCV) แบบเรื้อรัง ไวรัสเหล่านี้ทำให้เกิดการอักเสบในตับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายของเซลล์ตับ การเกิดพังผืด และในที่สุดกลายเป็นมะเร็ง
ไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เป็นไวรัสที่แพร่ระบาดในหลายประเทศในเอเชียรวมถึงประเทศไทย สามารถติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด ผ่านเลือด หรือทางเพศสัมพันธ์ องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าการติดเชื้อ HBV แบบเรื้อรังเป็นสาเหตุของมะเร็งตับประมาณ 50-80% ของกรณีทั่วโลก การฉีดวัคซีน HBV เป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลดีมาก
ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) แพร่ผ่านทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการรับเลือดที่ไม่ได้ตรวจสอบอย่างถูกต้อง การติดเชื้อเรื้อรังทำให้เกิดการอักเสบและพังผืดในตับ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน HCV แต่มียารักษาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้
โรคตับแข็ง เป็นทางผ่านสำคัญสู่มะเร็งตับ ตับแข็ง คือภาวะที่เนื้อตับถูกทำลายอย่างรุนแรงและเกิดพังผืดถาวร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่มะเร็งตับ เกิดจากโรคตับเรื้อรังหลายชนิด เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โรคไขมันพอกตับ และโรคตับจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ กลไกการเกิดมะเร็งมีการอักเสบและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อตับซ้ำ ๆ ทำให้เกิดความผิดปกติของเซลล์และกลายเป็นมะเร็งได้ ผู้ป่วยที่ตับแข็งมีความเสี่ยงเกิดมะเร็งตับประมาณ 2-8% ต่อปี
การดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดโรคตับและมะเร็งตับ โดยเฉพาะการดื่มในปริมาณมากและต่อเนื่อง การดื่มแอลกอฮอล์เกิน 30 กรัมต่อวัน (ประมาณ 2 หน่วยมาตรฐาน) เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับอย่างมีนัยสำคัญ แม้การดื่มในปริมาณปานกลางก็สามารถทำลายตับได้ โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย โดยกลไกของแอลกอฮอล์ถูกเปลี่ยนเป็นสารพิษ เช่น อะเซทัลดีไฮด์ ซึ่งทำลายเซลล์ตับและกระตุ้นการอักเสบ ผลกระทบของการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับอย่างทวีคูณ
โรคไขมันพอกตับ (NAFLD) ที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ หรือภาวะที่มีไขมันสะสมในเซลล์ตับโดยไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์กำลังเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เนื่องจากความอ้วนและเบาหวานที่เพิ่มขึ้น และโรคตับอักเสบจากไขมัน (NASH) เป็นภาวะที่ไขมันสะสมร่วมกับการอักเสบและทำลายเซลล์ตับ ซึ่งอาจนำไปสู่พังผืดและตับแข็ง กลุ่มที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม
สารพิษในอาหารและสิ่งแวดล้อม สารพิษบางชนิดที่ปนเปื้อนในอาหารหรือสิ่งแวดล้อมเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับ เช่น อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) สารพิษจากเชื้อราที่พบในอาหารแห้ง เช่น ถั่วลิสง ข้าวโพด หากบริโภคในปริมาณมากจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับอย่างมาก หรือไนโตรซามีน (Nitrosamine) พบในอาหารแปรรูปบางชนิด มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง รวมถึงสารเคมีอื่น ๆ เช่น ไวนิลคลอไรด์ สารหนู ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งตับ
ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ เพศและอายุ ส่วนใหญ่มะเร็งตับพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และพบมากขึ้นในผู้สูงอายุ พันธุกรรม ประวัติครอบครัวหรือโรคตับบางชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเพิ่มความเสี่ยง และรวมไปถึงพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน และภาวะอ้วน
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับมะเร็งตับ
ข้อมูลแปลจาก National Library of Medicine ระบุว่า แอลกอฮอล์ถูกจัดประเภทเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยมะเร็ง เนื่องจากมันเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งเซลล์ตับเช่นเดียวกับมะเร็งอื่นๆ ในมนุษย์ทั่วโลก มะเร็งตับเป็นสาเหตุการตายจากมะเร็งสูงเป็นอันดับสองในผู้ชายและอันดับหกในผู้หญิง มะเร็งตับพบบ่อยกว่าในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางมากกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คาดว่าจะมีผู้ป่วยมะเร็งตับใหม่ประมาณ 40,700 ราย และผู้ป่วยประมาณ 29,000 รายจะเสียชีวิตจากมะเร็งตับในสหรัฐอเมริกาในปี 2017 นอกจากนี้ อุบัติการณ์ของมะเร็งตับกำลังเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4% ต่อปี มะเร็งตับจึงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยมะเร็งเซลล์ตับ (HCC) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 70-90% ของกรณี เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุดของมะเร็งตับปฐมภูมิ การบริโภคแอลกอฮอล์ ซึ่งมีระดับสูงในประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยของมะเร็งตับในประเทศที่พัฒนาแล้ว อัตราส่วนของการใช้แอลกอฮอล์เกินขนาดต่อสาเหตุทั้งหมดของมะเร็งตับจะแตกต่างกันไปตามประเทศและพื้นที่ มีรายงานว่าการใช้แอลกอฮอล์เกินขนาดเป็นสาเหตุของมะเร็งตับประมาณ 15-30%
ความเสี่ยงของตับแข็งและมะเร็งตับ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก ประมาณ 280 ล้านคน หรือ 4.1% ของประชากรอายุ >15 ปี เข้าข่ายคำจำกัดความของ ‘ความผิดปกติจากการใช้แอลกอฮอล์’ (การพึ่งพิงแอลกอฮอล์และการใช้แอลกอฮอล์ที่เป็นอันตราย) ความชุกนี้เกือบจะเท่ากับความชุกของไวรัสตับอักเสบบี และสูงกว่าความชุกของไวรัสตับอักเสบซีถึงสี่เท่า เนื่องจากประชากรจำนวนมาก การตรวจคัดกรองมะเร็งตับ เช่น การตรวจอัลตราซาวนด์หรือการตรวจวัดระดับเครื่องหมายเนื้องอกในเลือดสำหรับผู้ป่วยทุกรายจะนำไปสู่ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่สูงมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งตับ
สมาคมอเมริกันเพื่อการศึกษาโรคตับ (AASLD) แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีตับแข็งระดับ Child’s classification A/B ได้รับการเฝ้าระวังมะเร็งตับด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์ โดยมีหรือไม่มีการตรวจวัดอัลฟาฟีโตโปรตีน ทุก 6 เดือน และไม่แนะนำให้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเฝ้าระวังตามสาเหตุของโรคตับ มีรายงานว่าประมาณ 10-20% ของผู้ดื่มหนักจะเกิดตับแข็ง การศึกษาก่อนหน้านี้หลายการศึกษาที่ประเมินอุบัติการณ์รายปีของมะเร็งตับในผู้ป่วยที่มีตับแข็งจากแอลกอฮอล์ พบว่าอัตราอยู่ที่ 1.9-2.6% ดังนั้น อาจเหมาะสมที่จะทำการเฝ้าระวังมะเร็งตับสำหรับผู้ป่วยที่มีตับแข็งจากแอลกอฮอล์
การรักษามะเร็งตับ
การเลือกวิธีรักษามะเร็งตับขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ความรุนแรงของโรค ขนาดและลักษณะของเซลล์มะเร็ง ระยะการแพร่กระจาย และสภาพสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย แพทย์จะจำแนกแผนการรักษาตามสภาวะของโรคออกเป็น 3 ประเภทหลัก ภาวะที่สามารถผ่าตัดหรือปลูกถ่ายตับได้ ภาวะที่ผ่าตัดไม่ได้แต่โรคยังจำกัดอยู่ในตับ ภาวะที่โรคแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นแล้ว
การรักษาด้วยการผ่าตัด สามารถทำได้หลายแบบ มีหลายรูปแบบ เช่น การผ่าตัดตัดส่วนตับที่เป็นมะเร็งออก และการปลูกถ่ายตับทั้งใบ สำหรับการปลูกถ่ายตับจะพิจารณาได้เฉพาะผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งขนาดไม่เกิน 5 เซนติเมตร และมีอายุต่ำกว่า 70 ปี การทำลายเนื้อเยื่อมะเร็ง โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การใช้คลื่นความถี่วิทยุ (radiofrequency ablation) การใช้ไมโครเวฟ (microwave ablation) การใช้ความเย็นจัด และการฉีดแอลกอฮอล์ หัตถการทางรังสีวิทยา ประกอบด้วย การใส่ยาเคมีบำบัดผ่านหลอดเลือดแดง (TACE) การใส่ยาแบบควบคุมการปล่อย (DEB-TACE) และการใส่สารรังสี (radioembolization) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง การฉายรังสีจากภายนอก โดยใช้เทคนิคการฉายรังสีแบบเจาะจง (stereotactic body radiation therapy) ที่สามารถมุ่งเป้าไปที่เนื้อเยื่อมะเร็งโดยไม่กระทบอวัยวะรอบข้าง การรักษาด้วยยาแบบมุ่งเป้า(targeted therapy) แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ kinase inhibitor และ monoclonal antibodies การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันของตัวผู้ป่วยเอง ใช้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยในการต้านมะเร็ง แบ่งเป็น PD-1/PD-L1 inhibitors และ CTLA-4 inhibitor และวิธีการเคมีบำบัดที่ใช้ยาหลายชนิด เช่น gemcitabine, oxaliplatin, cisplatin, doxorubicin, 5-fluorouracil, capecitabine และ mitoxantrone
การป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากมะเร็งตับถึง 90% เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี ผู้ป่วยเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดตับแข็งและมะเร็งตับ มะเร็งตับมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว โดยขนาดจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายใน 3-6 เดือน ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีและซีควรได้รับการตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอทุก 3-6 เดือน ด้วยการตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ (alpha-fetoprotein) การตรวจอัลตราซาวนด์ตับ และการตรวจประเมินการทำงานของตับ
แม้ว่ามะเร็งตับเกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการ โดยเฉพาะโรคตับแข็งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์ ภาวะไขมันพอกตับ และการได้รับสารพิษจากอาหาร การป้องกันที่ดีที่สุดคือการควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ เช่น การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี การลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ การรักษาโรคตับเรื้อรัง และการเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัย รวมถึงการตรวจสุขภาพและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันและลดอุบัติการณ์ของมะเร็งตับในอนาคต ถึงแม้จะดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณไม่มาก ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคตับและมะเร็งตับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วม
ข้อมูลอ้างอิง
- กรมอนามัย. มะเร็งตับ: สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง. สืบค้นจาก https://medinfo2.psu.ac.th/liver-cancer-risk-factors
- คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. แนวทางการรักษาโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี. โรงพยาบาลรามาธิบดี.
- สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. การป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งตับ. สืบค้นจาก https://www.nci.go.th/th/Knowledge/downloads/0012.pdf
- สถาบันมะเร็งแห่งชาติ. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งตับ. สืบค้นจาก https://www.nci.go.th/th/Knowledge/tubcopy.html
- ศูนย์มะเร็งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์. มะเร็งตับ อาการและปัจจัยเสี่ยง. สืบค้นจาก https://chgcancercenter.com/liver-vs-bile-duct-cancer
- ศูนย์มะเร็งโรงพยาบาลนนทเวช. มะเร็งตับอย่ามองข้ามสัญญาณเตือน ใครบ้างที่เสี่ยง. สืบค้นจาก https://nonthavej.co.th/cancer-liver-warning-signs
- โรงพยาบาลสินแพทย์. สาเหตุการเกิดมะเร็งตับ. สืบค้นจาก https://synphaet.co.th/th/health-info/liver-cancer-causes
- Matsushita, H., & Takaki, A. (2020). Alcohol and hepatocarcinogenesis. Clinical and Molecular Hepatology, 26(4), 736-741. https://doi.org/10.3350/cmh.2020.0203
- Sia, D., Villanueva, A., Friedman, S. L., & Llovet, J. M. (2020). Risk factors for hepatocellular carcinoma and its prevention. World Journal of Clinical Oncology, 11(11), 761-772. https://doi.org/10.5306/wjco.v11.i11.761