มะเร็งช่องปาก-ภัยเงียบจากพฤติกรรมเสี่ยงที่ถูกมองข้าม

มะเร็งถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะมะเร็งช่องปาก (Oral Cancer) ที่พบได้บ่อยในบริเวณศีรษะและลำคอ แม้จะไม่ใช่มะเร็งที่ได้รับความสนใจมากนัก เมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่น แต่ความน่ากลัวของมะเร็งชนิดนี้คือการที่ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น และเมื่อตรวจพบก็มักอยู่ในระยะที่รุนแรงแล้ว

หลายคนอาจเคยสงสัยว่าพฤติกรรมการดื่มสุราและสูบบุหรี่นั้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปากจริงหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบจาก  ผศ.ทพญ.ดร.วรรณกมล ปัญญารักษ์ หรืออาจารย์ปอย ภาควิชาชีววิทยาช่องปากและวิทยาการวินิจฉัยโรคช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับความเสี่ยงของมะเร็งช่องปาก พร้อมทั้งความรู้เรื่องสุขภาพช่องปากที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

จากการศึกษาข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) และการศึกษาวิจัยย้อนหลัง ที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ได้เผยให้เห็นความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญระหว่างพฤติกรรมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่กับการสูบบุหรี่และการเกิดโรคมะเร็ง ผลการศึกษาจากทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่น ๆ ได้แสดงให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ กล่าวคือ ผู้ที่มีพฤติกรรมดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการสูบบุหรี่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอสูงขึ้นถึง 40 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังพบว่าในกลุ่มผู้ป่วยที่มีประวัติการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ร่วมกัน มีอัตราการเกิดมะเร็งกล่องเสียงและมะเร็งคอหอยส่วนปลายสูงถึงร้อยละ 85 ในขณะที่มะเร็งบริเวณคอหอยส่วนปากหรือเพดานอ่อนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัส HPV พบได้มากถึงร้อยละ 75 และที่น่าสนใจคือ พบมะเร็งช่องปากในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทั้งสองอย่างนี้สูงถึงร้อยละ 61

สูบและดื่มหนัก “เสี่ยงเป็นมะเร็งในช่องปาก”

มะเร็งช่องปากที่พบบ่อยที่สุดคือชนิด “สแควมัสเซลล์คาร์ซิโนมา” (Squamous Cell Carcinoma) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเซลล์ในช่องปาก โดยโรคนี้มีการพัฒนาเป็นระยะ ๆ เริ่มจากการเกิดรอยโรคก่อนมะเร็งที่อาจไม่แสดงอาการใด ๆ ไปจนถึงระยะสุดท้ายที่มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ทำให้การรักษามีความซับซ้อนและยากลำบากมากขึ้น

ผศ.ทพญ.ดร.วรรณกมล ปัญญารักษ์ ยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคในช่องปากที่พบในคนไทย ที่ปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้การดูแลสุขภาพช่องปากมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ซึ่งนำไปสู่การตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากอย่างสม่ำเสมอ โดยโรคในช่องปากที่พบบ่อยในคนไทยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ โรคฟันผุ โรคปริทันต์ และโรคมะเร็งในช่องปาก

โรคฟันผุ เป็นปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบได้ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ วัยทำงาน ไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีผู้ป่วยทางทันตกรรมจำนวนมากในประเทศไทย แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการเน้นการทำงานในกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุเป็นหลัก แต่การปลูกฝังการดูแลสุขภาพช่องปากตั้งแต่วัยเด็กก็ยังคงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน

โรคปริทันต์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าโรคเหงือก และในภาษาพื้นบ้านบางพื้นที่เรียกว่า “โรครำมะนาด” เป็นปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบบ่อยในวัยทำงานและผู้สูงอายุ เกิดจากคราบจุลินทรีย์สะสม ก่อตัวเป็นหินน้ำลายหรือหินปูน ทำให้เหงือกอักเสบ เหงือกร่น ฟันโยก โรคนี้สามารถนำไปสู่การสูญเสียฟันได้หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

ส่วน โรคมะเร็งในช่องปาก (Oral Cancer) จัดเป็นหนึ่งในสิบอันดับโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีความรุนแรงและอัตราการเสียชีวิตสูงถึงกว่าร้อยละ 50 เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยในบริเวณศีรษะและลำคอ โดยมีสาเหตุหลักมาจากสามปัจจัยสำคัญ ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นระยะเวลานาน และการเคี้ยวหมาก จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ร่วมกัน โดยเฉพาะการดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับการสูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอเพิ่มขึ้นถึง 40 เท่า

การพัฒนาของมะเร็งช่องปากมีหลายระยะ เริ่มจากระยะก่อนมะเร็งที่มักพบเป็นรอยโรคสีขาวหรือสีแดงในช่องปาก ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใด ๆ หรือมีเพียงอาการแสบร้อนเล็กน้อย จากนั้นโรคจะพัฒนาเป็น 4 ระยะ เริ่มจากระยะที่ 1 ที่มีรอยโรคขนาดเล็ก ไปจนถึงระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายที่มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น

ชนิดของมะเร็งช่องปากที่พบบ่อยที่สุดคือ “สแควมัสเซลล์คาร์ซิโนมา” (Squamous Cell Carcinoma) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเซลล์ในช่องปาก นอกจากนี้ยังอาจพบมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น โดยในผู้ชายมักมาจากมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนในผู้หญิงมักมาจากมะเร็งปอดและมะเร็งเต้านม

ใครบ้างอยู่กลุ่มเสี่ยง

กลุ่มเสี่ยงของมะเร็งช่องปากส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 40-70 ปี และพบในเพศชายมากกว่า เนื่องจากมักเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการดื่มสุราและสูบบุหรี่ ที่น่าสนใจคือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบโรคโดยบังเอิญเมื่อมาทำฟันตามปกติ เนื่องจากในระยะเริ่มต้นมักไม่มีอาการที่ชัดเจน นอกจากนี้พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ยังก่อเกิดมะเร็งชนิดอื่นได้ด้วย (สามารถอ่าน นักดื่มสายดริ๊งค์กับความเสี่ยงโรคมะเร็ง เพิ่มเติมที่ https://blog.sdnthailand.com/blog_post/drinker-beware-cancer)

การละเลยการตรวจสุขภาพช่องปากประจำปีเป็นปัญหาสำคัญที่พบบ่อย เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักจะมาพบทันตแพทย์เมื่อมีอาการปวดฟันหรือต้องการรับการรักษาเฉพาะทาง ทำให้บ่อยครั้งที่พบโรคในระยะที่รุนแรงแล้ว ดังนั้น การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น

ในสังคมปัจจุบัน แม้ว่าการเคี้ยวหมากในสังคมเมืองจะลดลง แต่ยังคงพบได้ในสังคมชนบท กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ และในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ เมื่อรวมกับการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปากอย่างมีนัยสำคัญ

การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพช่องปากและการตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมผู้สูงอายุที่กำลังเพิ่มขึ้นในประเทศไทย

การสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพช่องปาก แม้ว่าไม่ทุกคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งช่องปาก แต่ก็ไม่ควรวางใจ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในช่องปากหลายชนิด

ในยุคปัจจุบัน บุหรี่ไฟฟ้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมาในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงที่เรียกกันว่า “พอต” ซึ่งแม้ผู้ใช้บางคนอาจแยกแยะว่าเป็นผลิตภัณฑ์คนละประเภทกับบุหรี่ไฟฟ้า แต่แท้จริงแล้ว พอตก็คือบุหรี่ไฟฟ้ารูปแบบหนึ่งที่มีส่วนประกอบและความเสี่ยงต่อสุขภาพไม่แตกต่างกัน สารที่พบในบุหรี่ไฟฟ้าประกอบด้วยนิโคตินและสารโลหะหนักหลายชนิด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แม้ว่าผู้สูบบุหรี่แบบดั้งเดิมที่เปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าอาจเชื่อว่าเป็นการลดปริมาณนิโคติน หรือช่วยลดกลิ่นรบกวนผู้อื่น แต่ความจริงแล้ว สารที่ร่างกายได้รับยังคงเป็นสารประเภทเดียวกับบุหรี่ทั่วไป ทำให้ความเสี่ยงต่อสุขภาพไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด การเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่ทั่วไปจึงเป็นความเชื่อที่อันตราย เพราะอาจทำให้ผู้ใช้ประมาทและใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว การเลิกบุหรี่ทุกรูปแบบจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพ

โรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะพัฒนาไปเป็นโรคปริทันต์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่าโรครำมะนาด ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ เมื่อสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ภูมิคุ้มกันในช่องปากจะถูกทำลาย ส่งผลให้เชื้อก่อโรคในช่องปากทำงานได้มากขึ้น โดยปกติในช่องปากจะมีทั้งเชื้อที่ก่อโรคและไม่ก่อโรคอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอลง เชื้อก่อโรคจะมีโอกาสเพิ่มจำนวนและก่อปัญหามากขึ้น

สิ่งที่น่ากังวลอีกประการหนึ่งคือ ผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่และดื่มสุรามักละเลยการดูแลสุขภาพช่องปาก และไม่ค่อยไปพบทันตแพทย์ตามกำหนด ทำให้ปัญหาสุขภาพช่องปากทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น เหงือกร่น โรคเหงือกรุนแรง ฟันผุเพิ่มขึ้น และการติดเชื้อในช่องปากที่บ่อยขึ้น

ความเข้าใจผิด
เกี่ยวกับแอลกอฮอล์กับสุขภาพช่องปาก

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในกลุ่มผู้ดื่มแอลกอฮอล์ คือ ความเชื่อที่ว่า การดื่มแอลกอฮอล์สามารถช่วยฆ่าเชื้อในช่องปากได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นความเชื่อที่ผิดและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากอย่างมาก เนื่องจากเชื้อก่อโรคในช่องปากมีหลายประเภท และหลายชนิดมีความทนทานสูง ไม่สามารถถูกกำจัดด้วยแอลกอฮอล์ได้ นอกจากนี้การดื่มแอลกอฮอล์ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากโดยรวมอีกด้วย

งานวิจัยในปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่า เชื้อก่อโรคในช่องปากไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากเท่านั้น แต่ยังมีความเชื่อมโยงกับโรคร้ายแรงอื่นๆ อีกมากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอัลไซเมอร์ โรคลำไส้อักเสบ มะเร็งลำไส้และไส้ตรง โรคปอดอักเสบ รวมถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/alcohol/alcohol-fact-sheet)

บางคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปพบทันตแพทย์ด้วยความกังวลว่าจะเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่ความจริงแล้ว ทันตแพทย์ทุกคนปรารถนาที่จะพบผู้ป่วยที่มีสุขภาพช่องปากที่ดี การพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว ที่จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจลุกลามเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต ดีกว่าการปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่รักษาได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูงในภายหลัง

การเลิกหรือลดพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ ควบคู่กับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาว การพบทันตแพทย์เป็นประจำไม่เพียงช่วยในการดูแลสุขภาพฟันและเหงือก แต่ยังเป็นโอกาสในการตรวจคัดกรองความผิดปกติที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงในอนาคต เมื่อมีพฤติกรรมสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ภูมิคุ้มกันในช่องปากจะถูกทำลาย ส่งผลให้เชื้อก่อโรคในช่องปากทำงานได้มากขึ้น โดยปกติในช่องปากจะมีทั้งเชื้อที่ก่อโรคและไม่ก่อโรคอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอลง เชื้อก่อโรคจะมีโอกาสเพิ่มจำนวนและก่อปัญหามากขึ้น

แม้ว่ามะเร็งนั้นจะมีอยู่หลายชนิด และมะเร็งในช่องปากก็ถือเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะไม่ได้รับความสนใจเท่ามะเร็งชนิดอื่น แต่ด้วยอัตราการเสียชีวิตที่สูงถึงร้อยละ 50 และการที่มักตรวจพบในระยะรุนแรง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและการป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงสำคัญอย่างการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ที่มีทั้งสองพฤติกรรมร่วมกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอได้

การดูแลสุขภาพช่องปากนั้น ไม่ควรรอให้มีอาการผิดปกติจึงค่อยพบทันตแพทย์ การตรวจสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะในยุคที่สังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากจึงไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันโรค แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงสำคัญอย่างการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากจะลดอัตราการเกิดมะเร็งในช่องปากแล้ว ยังลดความเสี่ยงจากมะเร็งชนิดอื่น ๆ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด เป็นต้น


อ้างอิง

นักสื่อสารสุขภาวะดิจิทัล และ Data Journalism