รู้ทันโรคฮิตในฤดูฝน

เมื่อถึงวัสสานฤดู หรือการเข้าสู่ฤดูฝน เป็นช่วงเวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากที่ต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมขังแล้ว ยังต้องคำนึงถึงโรคที่มาพร้อมกับหน้าฝนโดยมีทั้งความชื้นสูงและอุณหภูมิที่ผันผวน ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนหลายด้าน ความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้น เอื้อต่อการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเชื้อโรคหลายชนิด เช่น ไวรัสและแบคทีเรีย ทำให้ผู้คนมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ โรคที่มียุงเป็นพาหะ และโรคติดต่อทางน้ำ

สภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงฤดูฝน ยังทำให้ร่างกายต้องปรับตัวอย่างมาก หากภูมิต้านทานไม่แข็งแรงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ก็อาจเกิดอาการป่วยได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้ ความเปียกชื้นและการสัมผัสน้ำขังยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคผิวหนังและโรคติดเชื้ออื่นๆ การดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมในช่วงฤดูฝนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรตระหนักและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น มีฤดูฝนที่ยาวนาน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคม สภาพอากาศที่ชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม ประกอบกับน้ำขังตามที่ต่างๆ กลายเป็นสวรรค์ของเชื้อโรคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต ที่สามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วนอกจากนี้ในฤดูฝนมักมีแหล่งน้ำขัง ที่เป็นสวรรค์ของยุงลาย และน้ำท่วมขังยังเป็นพาหะสำคัญของโรคอันตรายหลายชนิด เพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรคเหล่านี้

กลุ่มโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ

ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงและเข้าสู่ฤดูฝน โรคไข้หวัดใหญ่กลับมาระบาดอีกครั้งหลังจากที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ข้อมูลจากกองระบาดวิทยาแสดงให้เห็นว่าในปี 2567 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน มีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่กว่า 125,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง

  • โรคไข้หวัดใหญ่

เกิดจากการติดเชื้ออินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza Virus) ที่มีอยู่ 3 ชนิด คือ A, B และ C โรคนี้แพร่กระจายผ่านการหายใจเอาละอองฝอยจากน้ำมูกและน้ำลายของผู้ป่วยที่ปลิวฟุ้งในอากาศจากการไอหรือจาม หรือจากการสัมผัสผิวหน้าที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วนำมาสัมผัสจมูกหรือตา อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ มักเริ่มต้นด้วยไข้สูงเฉียบพลัน ร่วมกับอาการหนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วตัว ความรู้สึกอ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล และตาแดงแฉะ ในเด็กเล็ก อาจมีอาการเพิ่มเติมเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว และกินอาหารได้น้อย ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 2-4 วันแม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่ในคนปกติจะหายได้เองภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็อาจมีอาการไอเรื้อรังและอ่อนเพลียต่อเนื่องเป็นเวลานานถึง 2 สัปดาห์ สิ่งที่น่ากังวลคือในบางกรณี โรคนี้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ปอดอักเสบ การกำเริบของโรคหอบหืด หรือการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคไต

  • โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19)

แม้ว่าการระบาดครั้งใหญ่ของโรคโควิด-19 จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ก็ยังคงหมุนเวียนอยู่ในสังคม ข้อมูลล่าสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 21 ของปี 2568 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 21,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยนอก แต่ยังมีผู้ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 1,000 คน โรคโควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า SARS-CoV-2 การติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อสูดเอาฝอยละอองน้ำมูกและน้ำลายที่มีเชื้อ ซึ่งกระจายออกมาในอากาศจากการพูด ไอ หรือจามของผู้ป่วย อาการของโรคมักเริ่มต้นด้วยอาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูก หายใจลำบาก ร่วมกับไข้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ท้องเสีย และการรับรู้กลิ่นรสผิดปกติ ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนถึงการแสดงอาการจะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของเชื้อ โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 1-14 วัน แต่มักจะประมาณ 3 วัน สิ่งที่น่าสนใจคือผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่แสดงอาการเลย แต่ยังคงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่บางรายอาจเกิดอาการรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ และอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สายพันธุ์ของเชื้อ อายุ โรคประจำตัว และระดับภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

กลุ่มโรคติดต่อจากการสัมผัส

  • โรคมือเท้าปาก

เป็นโรคติดต่อที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ทำให้แม้จะเคยป่วยแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีก ข้อมูลจากการเฝ้าระวังโรคในปี 2567 พบผู้ป่วยสะสมกว่า 15,000 ราย โดยพบสูงสุดในกลุ่มอายุ 1-4 ปี ซึ่งมีอัตราป่วยถึง 425 ต่อประชากรแสนคน โรคนี้มักพบมากในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม เชื้อโรคแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย น้ำในตุ่มพอง หรืออุจจาระของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อที่อาจยังไม่แสดงอาการ การติดเชื้อยังเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสของเล่นหรือภาชนะที่ใช้ร่วมกับผู้ป่วย เชื้อใช้เวลาฟักตัวประมาณ 3-5 วันก่อนจะแสดงอาการ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เมื่อมีอาการจะพบไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ และลักษณะเฉพาะคือการมีตุ่มน้ำใสหรือผื่นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ในปาก ลำตัว และก้น อาการเหล่านี้มักจะทุเลาและหายเองได้ภายใน 2-10 วัน แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่มีผู้ป่วยส่วนน้อยที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ น้ำท่วมปอด หรือระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ การป้องกันโรคมือเท้าปากเริ่มต้นจากการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่อย่างถูกวิธี โดยล้างให้ทั่วทุกส่วนของมือเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วินาที ในเด็กเล็กจำเป็นต้องมีการฝึกสอนและดูแลจากผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิด ในช่วงฤดูกาลระบาด พ่อแม่และผู้ปกครองต้องเฝ้าระวังและสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิด หากพบว่าเด็กมีไข้หรือมีตุ่มแผลในปาก ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า ต้องไม่พาเด็กไปยังสถานที่ที่มีเด็กรวมตัวกัน เช่น สนามเด็กเล่น ศูนย์เด็กเล็ก หรือโรงเรียน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

  • โรคฉี่หนู (เลปโตสไปโรซิส)

หรือที่รู้จักกันในชื่อโรคฉี่หนู เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนที่มีความสำคัญมากในช่วงฤดูฝน โรคนี้พบได้บ่อยในผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมซึ่งต้องสัมผัสกับดินและน้ำเป็นประจำ ในช่วงฤดูฝน น้ำฝนจะเป็นตัวนำเชื้อโรคจากปัสสาวะของสัตว์พาหะต่างๆ เช่น หนู สุกร สุนัข โค กระบือ ไหลมารวมกันในบริเวณที่มีน้ำขัง เชื้อจะเพิ่มจำนวนขึ้นในดินโคลน แอ่งน้ำ และร่องน้ำ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นเดือน การติดเชื้อเกิดขึ้นเมื่อเชื้อเลปโตสไปราจากปัสสาวะสัตว์ที่ปนเปื้อนในน้ำหรือดินเปียก เข้าสู่ร่างกายผ่านรอยแผล รอยขีดข่วน ผิวหนังที่เปียกชุ่มจากการแช่น้ำนานๆ หรือเยื่อบุต่างๆ เช่น ตา จมูก ปาก การติดเชื้อมักเกิดขึ้นขณะย่ำดินโคลน แช่ในน้ำท่วมขัง หรือลงว่ายน้ำ ระยะฟักตัวของโรคแตกต่างกันในแต่ละบุคคล บางรายเร็วภายใน 2 วัน บางรายนานหลายสัปดาห์หรือประมาณ 1 เดือน โดยส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ อาการที่พบบ่อยของโรคฉี่หนูคือ ไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง หนาวสั่น ตาแดง และปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงโดยเฉพาะบริเวณน่อง ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะออกน้อยหรือไตวายเฉียบพลัน อาเจียนเป็นเลือด ไอเป็นเลือดสด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ มีความผิดปกติทางระบบประสาท และอาจเสียชีวิตได้ การป้องกันโรคฉี่หนูเริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงการทำงานในน้ำหรือลุยน้ำลุยโคลนเป็นเวลานาน หากจำเป็นต้องทำ ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เช่น รองเท้าบูทยาว ถุงมือยาง การทาแป้งและสวมถุงเท้ายาวก่อนสวมบูทจะช่วยให้สวมได้นานขึ้นและไม่เสียดสี การกำจัดขยะให้ถูกวิธีเพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนู การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมือบ่อยๆ การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ และการดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก

  • โรคเมลิออยโดสิส

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเบอร์โคเดอเรีย สูโดมัลลิอาย ซึ่งพบได้ในดินและแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศไทย โรคนี้มีความร้ายแรงสูง โดยมีอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยยืนยันประมาณ 40% และส่วนใหญ่เสียชีวิตภายใน 1-2 วันหลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ทั้งผ่านผิวหนังจากการสัมผัสกับดินหรือน้ำเป็นเวลานาน ผ่านบาดแผล การรับประทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน หรือการหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนในอากาศเข้าไป โรคนี้ไม่ติดต่อจากคนสู่คน แต่คนอาจติดเชื้อจากสัตว์ได้ โรคมักพบในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม และในช่วงต้นปีระหว่างเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ กลุ่มที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม กลุ่มเสี่ยงสูงได้แก่ เกษตรกรหรือผู้ที่ต้องสัมผัสดินและน้ำเป็นเวลานาน หากมีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น เบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคไตเรื้อรัง จะมีความเสี่ยงต่อการมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตสูงขึ้น ระยะฟักตัวของโรคไม่แน่นอน อาจสั้นเพียงไม่กี่วัน แต่บางรายอาจนานหลายปี โดยทั่วไปจะมีอาการในช่วง 1-21 วันหลังได้รับเชื้อ โดยเฉลี่ยประมาณ 4-5 วัน อาการแสดงของโรคเมลิออยโดสิสไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้การวินิจฉัยเป็นเรื่องท้าทาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการเฉียบพลันและมากกว่า 40% จะมีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด อาการที่พบบ่อยคือ ไข้สูง ปอดอักเสบ ข้ออักเสบ การติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบสืบพันธุ์ หรือการเกิดฝีที่อวัยวะต่างๆ เช่น ปอด ตับ หรือม้าม บางรายอาจมีภาวะช็อกและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว การป้องกันโรคเมลิออยโดสิสต้องเน้นการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เช่น รองเท้าบูท ถุงมือยาง กางเกงขายาว หรือชุดลุยน้ำเสมอเมื่อจำเป็นต้องสัมผัสดินหรือลุยน้ำ การดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำสะอาดบรรจุขวด และการอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังจากสัมผัสดินหรือน้ำ เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ หายใจหอบเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีและแจ้งประวัติการเสี่ยงให้แพทย์ทราบ เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากโรคนี้มีความรุนแรงสูงและต้องการการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เฉพาะเจาะจง

กลุ่มโรคติดต่อนำโดยยุงลาย

  • โรคไข้เลือดออก

ยังเป็นโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน โรคนี้เกิดจากไวรัสเด็งกีซึ่งมี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 การที่มีไวรัสหลายสายพันธุ์ทำให้คนเราสามารถป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกได้มากกว่า 1 ครั้ง และการติดเชื้อครั้งที่สองมักจะรุนแรงกว่าครั้งแรกยุงลายบ้านเป็นพาหะหลักในการนำโรคไข้เลือดออก เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดคน ระยะฟักตัวจะใช้เวลาประมาณ 3-14 วัน โดยทั่วไป 4-7 วัน ก่อนจะแสดงอาการ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือผู้ป่วยบางรายอาจไม่แสดงอาการแต่ยังคงสามารถเป็นแหล่งแพร่เชื้อให้ยุงและผู้อื่นได้อาการของโรคไข้เลือดออกเริ่มต้นด้วยไข้สูงกะทันหัน ร่วมกับปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และปวดกระบอกตา ลักษณะเฉพาะของโรคคือการมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดกำเดาไหล บางรายอาจมีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด ตับโต และกดเจ็บบริเวณชายโครงด้านขวาในรายที่มีอาการรุนแรง อาจเกิดภาวะช็อก เลือดออกในอวัยวะภายใน และการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ การรักษาโรคไข้เลือดออกเป็นแบบประคับประคอง โดยให้ยาลดไข้และการพักผ่อนที่เพียงพอ สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดหรือยาลดไข้กลุ่ม NSAIDs เพราะจะรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือดและทำให้เลือดออกง่ายขึ้น

  • โรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือ โรคชิคุนกุนยา

ชื่อมาจากภาษาท้องถิ่นในแทนซาเนียที่หมายถึง “เจ็บจนบิดงอตัว” ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะอาการปวดข้อที่รุนแรงของโรคนี้ โรคเกิดจากไวรัสชิคุนกุนยาและมียุงลายบ้านและยุงลายสวนเป็นพาหะนำโรคระยะฟักตัวของเชื้อในคนหลังถูกยุงที่มีเชื้อกัดจะใช้เวลาประมาณ 2-4 วัน โดยสั้นที่สุด 1 วัน และนานที่สุด 12 วัน อาการหลักของโรคคือ ไข้สูงร่วมกับผื่นแดงตามตัว และที่เป็นเอกลักษณ์คือ อาการปวดข้อและข้อบวมแดง เริ่มจากบริเวณข้อมือ ข้อเท้า และข้อต่อแขนขาส่วนใหญ่อาการจะหายได้ภายใน 1-12 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเรื้อรังได้เป็นเวลาหลายเดือน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ที่มักมีอาการปวดข้อรุนแรงและยาวนานกว่าเด็ก บางรายมีอาการรุนแรงมากจนขยับข้อไม่ได้และมีอาการต่อเนื่องเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ สำหรับเด็กผู้ป่วยมักมีอาการทางระบบประสาทและผิวหนังบ่อยกว่าผู้ใหญ่ ข้อดีของโรคนี้เมื่อเปรียบเทียบกับไข้เลือดออกคือ ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อก และมักไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

  • โรคติดเชื้อไวรัสซิกา

เป็นโรคที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ไวรัสซิกาอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสไข้เหลือง ไวรัสเด็งกี และไวรัสเวสต์ไนล์โรคนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถแพร่เชื้อได้หลายทาง นอกจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัดแล้ว ยังแพร่ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ การถ่ายเลือด และจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ระยะฟักตัวของเชื้อใช้เวลาประมาณ 2-14 วัน อาการของโรคส่วนใหญ่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยมักมีไข้ต่ำ ๆ ผื่นแดงตามตัวและแขนขา ตาแดง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และอุจจาระร่วง อาการโดยทั่วไปจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน และมีอัตราป่วยตายต่ำอย่างไรก็ตาม โรคนี้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากการติดเชื้ออาจทำให้ทารกเกิดภาวะศีรษะเล็ก มีพัฒนาการช้า ตัวเล็ก หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ยังพบการรายงานกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร โรคไข้สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ม่านตาอักเสบ และภาวะเกล็ดเลือดต่ำรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสซิกา

โรคระบาดในหน้าฝน รู้ทันป้องกันได้

แม้ว่าในช่วงฤดูฝนของประเทศไทยเป็นช่วงเวลาที่อากาศดี แต่ก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพจากหลากหลายปัจจัย การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในช่วงฤดูฝนที่ไม่แน่นอนนั้น มักมีความชื้นที่ยังก่อการนำพาเชื้อโรคแพร่ระบาดของโรคติดต่อและภัยสุขภาพต่างๆ และยังมีโรคที่อื่นๆที่สามารถพบทุกช่วงฤดูกาลแต่แพร่เชื้อได้ดีในช่วงฤดูฝนอีกหลายโรค การป้องกันโรคและภัยสุขภาพในช่วงนี้ ยังจำเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และการเตรียมความพร้อมตามมาตรการป้องกันโดยเฉพาะความรู้พื้นฐานของแต่ละโรคที่ใกล้ตัว ทั้งวิธีการดูแลสุขภาพ การรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อม การเฝ้าระวังอาการเจ็บป่วย และการรักษาพยาบาลเมื่อมีอาการผิดปกตินอกจากโรคที่แพร่เชื้อระบาดในช่วงฤดูฝนแล้วนั้น ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องจากภัยในช่วงฤดูฝนที่สำคัญ ได้แก่ การอันตรายจากฟ้าผ่า อุบัติเหตุจากการขับขี่จากฝนตกน้ำขัง อันตรายจากเห็ดพิษ และอันตรายจากสัตว์มีพิษ


ข้อมูลอ้างอิง

  • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. (ม.ป.ป.). 7 โรคที่มักเกิดในช่วงฤดูฝน. สืบค้นจาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/gallery/7-โรคที่มักเกิดในช่วงฤดู
  • โรงพยาบาลพญาไท. (ม.ป.ป.). โรคติดเชื้อที่มากับฤดูฝน. สืบค้นจาก https://www.phyathai.com/th/article/3873-โรคติดเชื้อที่มากับฤด
  • โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์. (ม.ป.ป.). โรคที่มากับหน้าฝน. สืบค้นจาก https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/652
  • โรงพยาบาลศิครินทร์. (2568). โรคที่มากับฝน. สืบค้นจาก https://www.sikarin.com/health/โรคที่มากับฝน
  • โรงพยาบาลบางปะกอก 3. (ม.ป.ป.). โรคที่มากับหน้าฝน. สืบค้นจาก https://www.bangpakok3.com/care_blog/view/158

นักสื่อสารสุขภาวะดิจิทัล และ Data Journalism