Category: บทความ

  • “ชีวิตนักบวช อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต ยามชราเจ็บป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใครจะดูแล”

    “ชีวิตนักบวช อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต ยามชราเจ็บป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใครจะดูแล”

    “นตฺถิ  โว  ภิกฺขเว  มาตา  นตฺถิ  ปิตา เย  โว อุปฏฺฐเหยฺยุํ  ตุเมฺห  เจ  ภิกฺขเว     อญฺญมญฺญํ  น  อุปฏฺฐหิสฺสถ  อถ  โกจรหิ  อุปฏฺฐหิสฺสติ  โย  ภิกฺขเว  มํ  อุปฏฺฐเหยฺย  โส  คิลานํ  อุปฏฺฐเหยฺย.ฯลฯ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอไม่มีมารดาบิดา ผู้ใดเล่าจะพึงพยาบาลพวกเธอ ถ้าพวกเธอจักไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจักพยาบาล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธเถิด ฯลฯ  ถ้าไม่มีอุปัชฌายะ อาจารย์ สัทธิวิการิก อันเตวาสิก ภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะ  หรือภิกษุผู้ ร่วมอาจารย์ เป็นหน้าที่ของสงฆ์ที่ต้องพยาบาลจนตลอดชีวิต ถ้าไม่พยาบาล ต้องอาบัติทุกกฏ”

    เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567  พระครูอมรชัยคุณ (หลวงตาแชร์ พเนจรพัฒนา) ประธานกองบุญสวัสดิการสังฆะเพื่อสังคมภาคอีสานล่าง ได้มอบหมายให้นายดิษณุลักษณ์ ไพฑูรย์ เป็นผู้แทน  นำถวายปัจจัย สวัสดิการรายเดือนในการดูแลพระสงฆ์ผู้อาพาธติดเตียง ของกองบุญสวัสดิการสังฆะเพื่อสังคม โดยมูลนิธิสังฆะเพื่อสังคม  แด่ พระครูวิมลสารวิสุทธิ์ (หลวงพ่อมหาแก่น) เจ้าอาวาสวัดหนองหัวแรด ต.แหลมทอง อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา พระครูวิมลสารวิสุทธิ์ (หลวงพ่อมหาแก่น) ปัจจุบัน อายุ 78 ปี 57 พรรษา  เป็นพระสงฆ์นักพัฒนา ที่เห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านเป็นภาระกิจสำคัญที่จะต้องช่วยให้พ้นทุกข์ โดยได้ทำอะไรหลายอย่างให้กับคนหนองบุญมาก และชาวโลก เช่น ระบบน้ำดื่ม น้ำใช้มีโรงงานผลิตน้ำดื่มในวัด  ผลักดันสร้างถนนหนทาง  รณรงค์ลด ละ เลิก อบายมุข (เหล้า ยาเสพติด บุหรี่ การพนัน เป็นต้น)  ส่งเสริมการเกษตรแบบธรรมชาติ โดยภายในวัดมีถังน้ำหมักชีวภาพมากกว่า 200 ตัน เพื่อให้ชาวบ้านได้นำไปใช้ ส่งเสริมการศึกษาทั้งของฝ่ายคณะสงฆ์ และฝ่ายญาติโยมมีศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์ในวัด มีรถรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน

    ปัจจุบันท่านอาพาธด้วยโรค เส้นเลือดในสมองตีบ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรง พูดไม่ได้ ต้องนอนป่วยติดเตียง มีเพียงยายยนต์  ฉลาดกลาง ผู้เป็นน้องสาวมาคอยดูแล อุปัฏฐากอุปัฏถัมภ์ นานๆทีจะมีพระสงฆ์มาดูแลพานั่งรถออกไปชมวิวภายในวัดที่ท่านได้สร้างไว้ตลอดอายุกาลพรรษาที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว

    พอคุยกับยายยนต์ เรื่องการดูแลจากหน่วยงาน หรือคณะสงฆ์ด้วยกัน ยายก็มักจะตัดพ้อด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า “ตอนหลวงพ่อมีแรงอยู่ก็มีคนนั้นคนนี้มาขอให้ช่วย เอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาให้ท่านทำท่านช่วย แต่พอหลวงพ่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีใครเข้ามาเลย” ยายพูดด้วยเสียงที่คลอ ๆ เล็กน้อย ฟังแล้วก็จุกในใจไปเหมือนกัน

    เสียงหนึ่งในใจ “ขนาดหลวงพ่อมหาแก่นทำอะไรให้ชาวบ้านมากมายขนาดนี้ ทั้งยังมีตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ เมื่อยามเจ็บป่วย อาพาธ ก็ยังไม่มีใคร หรือระบบ อะไรมารองรับดูแลได้เลย ทิ้งให้ท่านอยู่ลำพังตามยถากรรม แล้วหลวงปู่ หลวงตา สูงอายุ ตามบ้านนอกจะอยู่กันอย่างไร”

    ถึงแม้ พุทธพจน์ที่ยกมาตั้งต้น เป็นคำบอก และคำสั่งของพระพุทธเจ้าถ้าสงฆ์ไม่ดูแลกันเอง ทางวินัยต้องปรับอาบัติทุกกฎทุกวัน ถึงเวลาหรือยังที่องค์กรสงฆ์จะต้องพัฒนาจัดระบบรองรับดูแลพระภิกษุอาพาธให้เป็นระบบนำไปสู่ความยั่งยืน สอดคล้องกับยุคสมัย ตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัย และนโยบายกุฏิชีวาภิบาล และกองบุญ/ทุนพระภิกษุอาพาธระดับจังหวัด ซึ่งปัจจุบันสามารถจัดตั้งเป็นต้นแบบแล้ว 10 จังหวัด


  • “ความท้าทายครั้งสำคัญของพระสงฆ์ กับบทบาทการเป็นนักสื่อสารเพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ”

    “ความท้าทายครั้งสำคัญของพระสงฆ์ กับบทบาทการเป็นนักสื่อสารเพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ”

    ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สังคมไทยเผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ มากมาย ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ  กาย จิต  และสังคมโดยรวม พระสงฆ์ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่มีบทบาทสำคัญในการเป็นทั้งผู้นำ ผู้ให้  ผู้ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดีงาม รวมไปถึงการนำเสนอแนวทางเลือกการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนา อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์ยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการสื่อสารกับสังคมสมัยใหม่ ความท้าทายเหล่านี้  ได้แก่ ช่องว่างระหว่างวัย ที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่มีอายุมาก ภาษาและวิธีการสื่อสาร อาจไม่เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พระสงฆ์ต้องปรับตัว เรียนรู้ และใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการสื่อสาร ความหลากหลายของสังคมไทยทั้งทางวัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อ พระสงฆ์ต้องสื่อสารให้เข้าถึงและเข้าใจคนกลุ่มวัยต่างๆ และที่สำคัญ ปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารมีมากมาย และหลากหลาย  ซึ่งก็มีข้อมูลจำนวนมากเช่นกันไม่ถูกต้อง บิดเบือน พระสงฆ์ต้องมีความรู้ เครื่องมือที่จะกลั่นกรอง แล้วเลือกนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน และพระพุทธศาสนา  การจะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้จะทำอย่างไร   พระสงฆ์ยุคนี้จำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ทักษะวิธีการสื่อสารสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้เป็นเครื่องมือ นำไปสู่การพัฒนาบทบาทการเป็นพระนักสื่อสารในสังคมปัจจุบัน

    เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ถึง วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมาโครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะงานบวชสร้างสุขด้วยหลักพุทธธรรม โดย มูลนิธิสังฆะเพื่อสังคม ร่วมกับ CoFact มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนาสังฆะเพื่อสังคมภาคอีสานบน ล่าง  และภาคีเครือข่าย ด้านการสื่อสารสาธารณะ ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการถวายความรู้ พัฒนาศักยภาพพระนักสื่อสาร ภาคอีสาน “ทักษะการรู้เท่าทันสื่อและทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยเครื่องมือดิจิทัล” ให้กับเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนา ภาคอีสานบน และภาคอีสานล่าง ในจังหวัดร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สกลนคร ขอนแก่น หนองคาย นครพนม เลย อุดรธานี หนองบัวลำภู บึงกาฬ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร มุกดาหาร นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ณ วัดโพธิการาม ตำบลโพนสูง อำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด

    เพื่อเสริมศักยภาพเครือข่ายพระนักสื่อสารในพื้นที่ชุมชนภาคอีสานให้ร่วมเป็นนักตรวจสอบข้อมูล (Fact-checker) โดยให้มีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ และทักษะการตรวจสอบข้อมูลด้วยเครื่องมือดิจิทัล เพื่อพัฒนาทักษะการผลิตสื่อสร้างปัญญาให้สังคม สกัดสื่อร้าย สื่อที่บิดเบือนในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ขยายสื่อดี หลักการ หลักธรรมที่ถูกต้อง ในพระพุทธศาสนา กับการดำเนินชีวิตในสังคม และเพื่อวางแผนในการสร้างการสื่อสารสาธารณะงานบวชสร้างสุขระดับพื้นที่/ภาค ที่ออกแบบและพัฒนาโดยพระนักสื่อสาร

    โดยภายในกิจกรรม ได้พัฒนาทักษะการใช้เครื่องมือดิจิทัลในการสืบข้นข้อมูลที่ถูกต้อง การใช้เครื่องมือ Canva ในการออกแบบ ผลิตสื่อแบรนด์เนอร์ การเล่าเรื่อง และการตัดต่อวิดีโอ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร พบว่าพระสงฆ์มีความตื่นตัว และให้ความสนใจเรียนรู้เป็นอย่างมาก

              พระครูโพธิวีรคุณ เจ้าคณะอำเภอปทุมรัตต์ เจ้าอาวาสวัดโพธิการาม และคณะกรรมการมูลนิธิสังฆะเพื่อสังคม กล่าวว่า ความสำคัญในการสื่อสารในการเผยแผ่ธรรมะ ในการติดต่อประสานงาน สื่อสารกับญาติโยม ถ้าพระเราไม่รู้ จักวิธีการสื่อสาร ก็อาจจะไม่สามารถเข้าถึงญาติโยมได้

    เพราะบทบาทของพระสงฆ์เรา จะต้องมีการเผยแผ่ธรรม มีการอบรมสั่งสอน และคลุกคลีกับญาติโยม ไปบิณฑบาตในงาน ในกิจนิมนต์ต่าง ๆ เท่าเรารับรู้ข้อมูลก็จะช่วยสื่อสารกับญาติโยมได้ อีกหนึ่งสิ่งญาติโยมนั้นมีหลายระดับ มีเด็กมีวัยวุ่น วัยกลางคน ผู้สูงอายุ บางครั้งชุมชน ไม่รู้เท่าทันสื่อ การเข้าถึงสื่อ การนำเสนอธรรมมะ การนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ยิ่งในปัจจุบันมีทั้งในสิ่งที่เป็นจริงไม่เป็นจริง บิดเบือนไม่บิดเบือน สื่อออนไลน์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ถ้าพระท่านรู้ ว่าทิศทาง การนำเสนอสื่อมันเป็นอย่างไร เราจะนำมาใช้ประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนาได้อย่างไร การนำเสนอข้อมูล การเผยแผ่ธรรมะ ให้เข้าถึงญาติโยมต้องใช้วิธีการแบบไหน การเข้าใจการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญ แม้แต่ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้า หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาก็ใช้สื่อสารสอนธรรมะได้ เปรียบเป็นอุปกรณ์ในการสื่อสาร แต่ว่าทุกวันนี้ โลกสมัยใหม่ในการสื่อสารออนไลน์ มันเร็ว เมื่อเร็วแล้วจิตใจเราต้องมีสติ มีสมาธิมากขึ้น การที่เรารู้สติก็หมายถึงการที่เรารู้ว่า อันไหนเท็จอันไหนจริง อันไหนคือสิ่งที่ถูกต้อง รู้เท่าทัน ฉะนั้นบทบาทของพระสงฆ์ไม่ใช่จะเป็นฝ่ายที่รับอย่างเดียว จะต้องเป็นฝ่ายให้ด้วย ให้ความรู้ ให้สติกับญาติโยมได้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่พระสงฆ์จะต้องมาเรียนรู้เรื่องการสื่อสารครั้งนี้ อีกประการสำคัญ สิ่งที่พระสงฆ์กำลังขับเคลื่อนกันอยู่ตอนนี้ คือ การส่งเสริม การบวชสร้างสุข ถ้าเราทำกันอยู่แคบ ๆ ไม่บอกกล่าวประชาสัมพันธ์ญาติโยมก็ไม่รู้ และเข้าไม่ถึง หรือเข้าถึงได้น้อย

    อาจารย์อังคณา พรมรักษา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวถึงความจำเป็นและสำคัญในการอบรมครั้งนี้ว่า เรามองว่า พระสงฆ์เอง เป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับชุมชนมากที่สุด ในชีวิตประจำวัน เราจึงมองว่า เป็นโอกาสสำคัญ ที่จะได้มาถวายความรู้ และนิมนต์เชิญชวนให้พระสงฆ์มาร่วมเป็น Fact-checker ร่วมกัน โดยพลังเครือข่ายของการเป็นพระนักสื่อสาร ที่จะได้ช่วยญาติโยมในการตรวจสอบข้อมูลความเป็นจริงในปัจจุบัน ช่วยเตือน ช่วยให้สติกับญาติโยมในชุมชนที่เสพสื่อ ข่าวสารข้อมูลที่มีมากมายในปัจจุบัน

    พระพานุ พุทฺธิสโร ผู้เข้ารับการถวายการอบรมครั้งนี้ กล่าวถึงการเข้าร่วมกิจกรรมในครี้งนี้ว่า ครั้งนี้ได้ตั้งใจมาร่วมเพื่อเสริมศักยภาพตนเองในการผลิตสื่อ การทำวิดีโอ การตัดต่อ เพื่อจะนำไปต่อยอดในการผลิตสื่อ เผยเผยแผ่ งานบุญ งานกิจกรรมต่าง ๆ ภายในวัด เพื่อสื่อสารกับญาติโยม ผ่านเพจประชาสัมพันธ์ของวัด โดยรวมแล้วคิดว่าในยุคคปัจจุบัน การสื่อสารถือเป็นเรื่องสำคัญ อนึ่งถือเป็นการเผยแผ่ธรรมะ ที่เข้าถึงญาติโยมได้ง่าย และรวดเร็ว จากการมาอบรมครั้งนี้ ทำให้อาตมาภาพได้เรียนรู้หลายอย่างที่ตัวเองไม่เคยรู้ และไม่เคยทำมาก่อน

    เช่น ข้อมูลข่าวสารที่มันมีในปัจจุบัน ที่บางครั้งก็เป็นปัญหาอยู่เหมือนกันถ้าหากมีการสื่อสารในทางที่ผิด การเข้าร่วมอบรมครั้งนี้ได้ทักษะใหม่ ๆ เช่น การทำแบรนด์เนอร์ การทำคลิปวิดีโอ ก็คิดว่า จะนำความรู้ที่ได้ในครั้งนี้ ไปต่อยอดในวัด ในชุมชนต่อไป

    ด้านนายชัยณรงค์ คำแดง ผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิสังฆะเพื่อสังคม และผู้จัดการโครงการบวชสร้างสุข ได้กล่าวถึงความคาดหวังในการจัดการอบรมครั้งนี้ ว่า จุดอ่อนของพระสงฆ์ที่ไม่สอดคล้องกับการสื่อสารยุคใหม่ มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ 1) ธรรมเนียมปฏิบัติของพระสงฆ์ ถ้ายอมรับอะไร นิ่ง  หรือภาษาบาลีว่า “ตุณฺหี” คือ ให้เงียบ ไม่ต้องพูด ทำ อะไร พระสงฆ์จำนวนมากในกลุ่มไลน์ 150 รูป เมื่อรูปใดรูปหนึ่งโพสต์ น้อยมากที่จะมีผู้แสดงความรู้สึกให้คนอื่นเห็น เช่น สาธุ ดีมากเลย ขออนุโมทนา ขอบคุณมากครับที่ให้ส่งมาให้เรียนรู้ หรือ กดไลค์ กดแชร์ 2) ค่านิยมทางสังคม  อดีตถึงปัจจุบันโยมจำนวนไม่น้อยที่มองพระว่า ไม่ควรเล่น โทรศัพท์ line, tik tok ,face book ทำให้พระขาดการพัฒนาตนเองด้านการสื่อสาร และการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาก็มีแต่โยมทำผลิตในสิ่งที่โยมชอบ เช่น การจัดงานบวชที่ยิ่งใหญ่ มีรถแห่ ดนตรี ดื่มกินน้ำเมาลงทุนหลักหมื่นถึงหลักล้านกว่าจะเข้าถึงศาสนาได้ ในส่วนของพระสงฆ์ไม่มีทำผลิตสื่อที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เช่น จัดงานบวชแบบเรียบง่าย ประหยัด นี่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย คืออย่างไร อย่างนี้เลย


    สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.),

    โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะงานบวชสร้างสุขด้วยหลักพุทธธรรม,

  • “นาคจน งานบวชอนาถา วาทกรรมกดทับการเข้าถึงศาสนาในสังคมไทย”

    “นาคจน งานบวชอนาถา วาทกรรมกดทับการเข้าถึงศาสนาในสังคมไทย”

    “การบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ถือเป็นการยกระดับชีวิตมาอยู่ในหนทางอันประเสริฐ และสังคมไทยก็ยกระดับเอามาเป็นประเพณีที่มีความสำคัญและมีคุณค่าอย่างยิ่ง ทว่าในปัจจุบัน การบวชที่ไม่ได้จัดในลักษณะที่ยิ่งใหญ่หรือมีความหรูหรา ตามค่านิยมทางสังคมที่บิดเบี้ยวทับซ้อน กันมายาวนานกลับถูกด้อยค่าและมองว่าเป็น “งานบวชอนาถา” หรือ “งานบวชคนจน” วาทกรรมเช่นนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงการกดทับทางสังคม แต่ยังสะท้อนถึงการบิดเบือนคุณค่าอันแท้จริงทางศาสนา”

    การบวชพระในประเทศไทยมีการรับรู้และการตีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งสังคมไทย เป็นสังคมที่เรียกได้ว่ามีความหลากหลาย ทั้งทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณี และค่านิยม แต่ละภูมิภาคในประเทศไทย จึงมีรูปแบบการจัดงานบวชที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม การจัดงานบวชในปัจจุบันที่มักปรากฎเห็นบนหน้าสื่อ มักมีการเลี้ยงฉลอง อย่างยิ่งใหญ่ จัดงานใหญ่โต มีการจัดเลี้ยงฉลอง เวทีมหรสพเสพงัน กระตุ้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลี้ยงฉลองอย่างเต็มที่เอาใจแขกผู้มาร่วมงาน เพราะกลัวถูกติฉินนินทา ว่าเป็นงานบวชอนาถา เจ้าภาพไม่ใจกว้าง ประหยัด ขี้เหนียว

    อีกความเชื่อว่า การบวชพระแบบยิ่งใหญ่ ซึ่งมักมีการจัดงานใหญ่โต มีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม และมีการใช้จ่ายเงินจำนวนมาก มักถูกมองว่าเป็นการแสดงสถานะทางสังคมและความมั่งคั่งของครอบครัว ในทางกลับกัน การบวชพระแบบไม่ยิ่งใหญ่ที่มีลักษณะเรียบง่ายและใช้จ่ายน้อยกลับถูกมองว่าเป็น “งานบวชอนาถา” หรือ “งานบวชคนจน”  เป็นตัวอย่างหนึ่งของวาทกรรมกดทับที่พบในสังคมไทย คำเหล่านี้ถูกใช้เพื่อแสดงความดูถูกหรือด้อยค่าต่องานบวชที่จัดอย่างเรียบง่าย และไม่มีการใช้จ่ายมากมาย วาทกรรมเหล่านี้สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่เลือกบวชแบบเรียบง่าย อาจเป็นเพราะพวกเขามีฐานะทางการเงินไม่ดีหรือเพราะพวกเขาเลือกที่จะไม่ใช้จ่ายมากมายในการจัดงาน การใช้คำเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมและการแบ่งแยกทางสังคมในสังคมไทย โดยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดงานบวชที่ยิ่งใหญ่และการใช้จ่ายมากมาย การนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ที่บวชแบบเรียบง่ายรู้สึกด้อยค่า แต่ยังส่งผลให้เกิดความกดดันทางสังคมในการจัดงานบวชในลักษณะที่เกินความสามารถทางการเงินของบางครอบครัว

    ทั้งนี้ ในปัจจุบัน การนำเสนอของสื่อ ที่ได้กล่าวถึงเกี่ยวกับการจัดงานบวชในสังคมไทย ที่มักมีการอวย การจัดงานบวชที่มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ โปรยทานด้วยเงินหลายแสนบาท มีมหรสพฉลอง สนุกสนาน แต่ในทางกลับกัน งานบวชที่มีการจัดอย่างเรียบง่าย เดินแห่นาค แบบสงบไร้แขกมาร่วมงาน มีเพียงพ่อแม่ และญาติพี่น้องไม่กี่คน เดินตามหลัก สื่อได้หยิบยกมาเล่าด้วยความเอ็นดู บางสื่อ สื่ออกมาในแนวน่าสงสาร มีการพาดหัวว่า เป็น นาคจน นาคกำพร้าบ้าง งานบวชไร้แขกร่วมงาน ย่องบวชแบบเงียบๆ บ้าง สะท้อนให้เห็นถึงการกดทับคุณค่าในการจัดงานบวช

    พระอธิการแดง ปญฺญาวโร เจ้าอาวาสวัดป่าชัยมงคล จ.กาฬสินธ์ุ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เรามา สร้างค่านิยมใหม่ในการบวช อย่าไปมองว่าคนที่บวชแบบเรียบง่าย เป็นงานบวชอนาถา แต่ให้มองกลับกันว่า งานที่จัดพิธีแบบเอิกเกริก สิ้นเปลือง มัวเมาไปด้วยอบายมุข เป็นงานบวชอนาถา น่าสงสารที่ศรัทธาเสื่อมถอยลง ปัญญามีน้อยลง

    พระครูบวรสังฆรัตน์ รองเจ้าคณะอำเภอกันทรารมย์ เจ้าอาวาสวัดจำปา บ้านหัวนา อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ได้กล่าวถึงการจัดงานบวชว่า การจะมาบวช ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเลย มาแต่ตัว และความศรัทธาตั้งมั่นในพระพุทธศาสนา ผ้าไตรก็มี บาตรก็มี อัฐบริขาร ครบเครื่อง ให้มาเอาที่วัด ไม่ต้องใช้จ่าย ไม่มีเงิน หรือมีเงินน้อยก็บวชได้

    ด้านนายชัยณรงค์ คำแดง   ผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิสังฆะเพื่อสังคม และผู้จัดการโครงการบวชสร้างสุข ได้กล่าวว่า  สังคมไทย ณ ปัจจุบัน พอพูดถึงงานบวช มักนึกถึง ดนตรี รถแห่ หมอลำ  เสื้อทีมเพื่อนนาคก่อนที่จะนึกว่า พระอุปัชฌาย์ว่างวันไหน หรือตั้งคำถามกับตนเองว่า เราจะบวชทำไม เพื่ออะไร บวชแล้วจะได้อะไร ในเวลานิดเดียวที่เรามีโอกาสได้บวชนี้ ดังนั้น ภาพที่เราเห็นงานบวชจะมีแต่ความสนุกสนาน บางมากเกินเลยอนาจาร หรือรุนแรงถึงขั้นฆ่ากันตาย สร้างความขัดแย้งระหว่างชุมชน เช่น กรณียิงกันในงานแห่นาคเต้นรถแห่งานบวชของวัยรุ่น 2 ชุมชนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 ยิงถล่มขบวนแห่นาคเจ็บ 5 ราย ณ บ้านห้วยอำเภอขุขันธ์จังหวัดศรีสะเกษ


    สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.),

    โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะงานบวชสร้างสุขด้วยหลักพุทธธรรม,

  • จ.กาฬสินธุ์ ร่วมขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ จัดตั้งกองบุญดูแลพระสงฆ์อาพาธระดับจังหวัด

    จ.กาฬสินธุ์ ร่วมขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ จัดตั้งกองบุญดูแลพระสงฆ์อาพาธระดับจังหวัด

    17 มีนาคม 2566 ณ ห้องประชุมโสมพะมิตร ศาลากลางจังหวัดกาฬสินธุ์ นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นประธานในการประชุมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ สู่การปฏิบัติ ประเด็น การจัดตั้งกองบุญดูแลพระสงฆ์อาพาธ จังหวัดกาฬสินธุ์  ร่วมกับ คณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์ สนง.พระพุทธศาสนา สนง.ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สนง.วัฒนธรรมจังหวัด ที่ทำการปกครอง สนง.ประชาสัมพันธ์  สนง.สาธารณสุข โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ สนง.สาธารณสุขอำเภอทุกแห่ง นายอำเภอทุกอำเภอ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ และเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์

    ตามธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติปีพุทธศักราช 2560 หมวด 5 ข้อ 33  ที่กำหนดว่า คณะสงฆ์พึงจัดตั้งกองทุนระดับชาติเพื่อการดูแลสุขภาวะพระสงฆ์โดยมีระบบการบริหารจัดการที่เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้พระสงฆ์ คณะสงฆ์ ชุมชน สังคม และหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่อาจจัดตั้งกองทุนระดับพื้นที่ได้

    จากการติดตามเฝ้าระวัง เรื่อง สุขภาวะพระสงฆ์ พบว่า พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ที่อาพาธ หลังจาก เข้าพักรักษาตัวในสถานบริการสาธารณสุข หรือหน่วยบริการในระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ เมื่อกลับไปที่วัดพักรักษาตัว จะประสบปัญหา การขาดผู้ดูแลต่อเนื่อง หรือสถานที่ไม่เอื้อต่อการฟื้นฟูสุขภาพ ขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขาดงบประมาณในการดำเนินการต่าง ๆ

    สาธารณะสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ รายงานว่ายังมีพระสงฆ์ที่ป่วยเมื่อได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลแล้วกลับถึงวัดยังขาดผู้ดูแลต่อเนื่องทำให้ป่วยซ้ำและทรุดลง

    ในการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ มีข้อตกลงความร่วมมือกัน ดังนี้

    1. ร่วมกันขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ สู่การปฏิบัติ อย่างต่อเนื่อง

    2. ร่วมกันจัดตั้งและดำเนินงาน กองบุญดูแลพระสงฆ์อาพาธ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้เกิดความมั่นคง ยั่งยืน

     3. ร่วมกันกำหนดระเบียบกองบุญฯ และจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงานอย่างน้อย 3 ปี ต่อเนื่องจนเกิดความยั่งยืน บรรลุวัตถุประสงฆ์ที่ตั้งไว้ให้เกิดประสิทธิภาพ

    4. ร่วมกันจัดหา บุคลากร อุปกรณ์  งบประมาณ ให้เพียงพอต่อการดำเนินงานของกองบุญฯ

    5. ร่วมกัน เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ การดำเนินงานของกองบุญฯ ทางสื่อต่างๆ ให้กว้างไกล

    6. ร่วมกันผลักดันส่งเสริมสนับสนุน ให้เกิด กองบุญดูแลพระสงฆ์อาพาธ ระดับอำเภอ ทุกอำเภอในจังหวัดกาฬสินธุ์

    จากนั้นมีการประชุมแสดงความคิดเห็นพิจารณา ระเบียบกองบุญฯ กำหนดวัดทอดผ้าป่าระดมทุน ช่วงเข้าพรรษา และให้มีการกำหนดวิธีการในการจัดการบริหารกองทุน  โดยผู้ว่าฯ เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือนำข้อตกลงทั้ง 6 ข้อให้เกิดเป็นรูปธรรม


    Reference

  • กลุ่มวัยรุ่นบัตรทองนครศรีฯ เรียนรู้ เข้าใจสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

    กลุ่มวัยรุ่นบัตรทองนครศรีฯ เรียนรู้ เข้าใจสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

          สิทธิด้านหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (National Health Security Act) เป็นกฎหมายที่ได้รับการกำหนดขึ้นเพื่อให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้นแก่ประชาชนไทยทุกคน โดยไม่คำนึงถึงรายได้ ซึ่งมีสิทธิพิเศษที่เด็กเยาวชนคนรุ่นใหม่ ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจสิทธ เพื่อไม่ให้เสียสิทธิของตนเอง

    เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2566 ทางสมาคมเพื่อนเยาวชนและพัฒนาสังคมภาคใต้ตอนบน เครือข่ายองค์งดเหล้าภาคใต้ตอนบน (สคล.ใต้ตอนบน) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้จัดเวทีประชุมสร้างความเข้าใจ คนรุ่นใหม่เข้าใจสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนเท่าทัน รับรู้ และเข้าถึงสิทธิและสามารถพิทักษ์สิทธิด้านประกันสุขภาพแห่งชาติ รับเรื่องร้องเรียนและส่งต่อหน่วยรับเรื่อง 50(5) รวมทั้งการสานพลังเครือข่ายเยาวชนในภาคใต้ตอนบนในการรับรู้และขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพ ภายใต้การกำกับติดตามจากสมาคมเพื่อนเยาวชนและพัฒนาสังคมภาคใต้ตอนบน และการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 11 สุราษฎร์ธานี

    ด้าน นางสาวอรอนงค์ รุ่งเรือง แกนนำเครือข่ายเยาวชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เล่าถึงความสำคัญของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่า คนไทยมีสิทธิการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานของตนเองอยู่ ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท คือ 1.ข้าราชการ 2.ประกันสังคมและ 3.ระบบหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง 30 บาท)  แต่หลายคนยังไม่รู้ว่าตนเองมีสิทธิในการใช้และจะแจ้งใช้สิทธิการรักษาอย่างไร จึงทำให้ไม่ได้ใช้สิทธิและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นการสร้างความรู้และเข้าใจสิทธิในการรักษาพยาบาลจึงเป็นสิ่งสำคัญ

        ดังนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจด้านหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้กับแกนนำเยาวชนเพื่อเข้าใจสิทธิการรักษาพยาบาลของตนเองและสามารถบอกต่อกับบุคคลในครอบครัว ชุมชน เครือข่ายแกนนำเยาวชน และเครือข่ายอื่นๆจังหวัดนครศรีธรรมราชต่อไป