Tag: ภาคกลาง

  • ภาคกลาง-เวทีพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชน YSDN ภาคกลาง “หลักสูตร นักกระบวนกรสร้างสุข สร้างสรรค์สังคม”

    ภาคกลาง-เวทีพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชน YSDN ภาคกลาง “หลักสูตร นักกระบวนกรสร้างสุข สร้างสรรค์สังคม”

    วันที่ 26-27 กรกฎาคม 2568

    สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคกลาง ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีพัฒนาศักยภาพแกนนำเยาวชน YSDN ภาคกลาง “หลักสูตร นักกระบวนกรสร้างสุข สร้างสรรค์สังคม” ณ ห้องประชุมพิงผา วังรี รีสอร์ท แอนด์ สปา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก

    การจัดเวทีครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญ คือ แกนนำเยาวชน YSDN เป็นนักจัดกิจกรรมกระบวนกรสร้างสุข สร้างสรรค์สังคมของทีมภาคกลางที่มีทักษะออกแบบกระบวนการ สามารถทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการได้ ภายใต้วัตถุประสงค์ของการจัดเวทีนี้ คือเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนคนรุ่นใหม่สานพลังเครือข่าย YSDN ภาคกลางสร้างสรรค์นวัตกรรมและป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และพัฒนาทักษะแกนนำเยาวชน YSDN ให้มีทักษะการออกแบบกระบวนการ หรือจัดกระบวนการเรียนรู้ได้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักที่เข้าร่วม คือ แกนนำเยาวชน YSDN ภาคกลางจังหวัดละ 4 คนที่ผ่านกระบวนการพัฒนาทักษะกับทาง สคล.อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง

    ในช่วงเวลาหนึ่งของกิจกรรมผู้ใหญ่ใจดีพบปะน้องเยาวชน YSDN ภาคกลาง นางสาวนุชจรินทร์ แก้วประเสริฐ (ผู้ประสานงานเยาวชนสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคกลาง) กล่าวว่า “เป้าหมายงานเยาวชน YSDN ระดับภาคกลางปีนี้เรามุ่งเน้นเรื่องการสร้างชุด Core Team เยาวชน YSDN ภาคกลาง ที่มีทักษะการผลิตสื่อ เป็นเยาวชนนักสื่อสารสร้างสรรค์รณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยง และมีทักษะออกแบบกระบวนการ สามารถทำหน้าที่เป็นวิทยากรกระบวนการได้ในระดับภาคและจังหวัดของตนเอง หนุนเสริมการขับเคลื่อนงานแบบเพื่อนช่วยเพื่อนได้”

    คุณอาทิตย์ เตชะเวฬุกุล (อาจารย์เม้ง) วิทยากรจากทีมงานสร้างสุข ได้ให้นิยามความหมายของ นักกิจกรรมกระบวนกรไว้ว่า “นักกิจกรรมกระบวนกร” เป็นผู้ที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นโดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเป็นสำคัญ หรือเรียกอีกอย่างว่า การเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน (Active-Based Learning : ABL) ฉะนั้น นักจัดกิจกรรมกระบวนกร ไม่ใช่เพียงผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงอย่างเดียว พวกเขาจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งนอกจากนี้ อาจารย์เม้ง ได้สร้างกฎและกติกาในการเรียนรู้ร่วมกันของแกนนำเยาวชน YSDN ภาคกลางที่ว่า “เรียนรู้ และทำทุกอย่างกันแบบ 100%”

    นอกจากนี้ อาจารย์เม้ง ยังได้ถ่ายทอดเรื่องเทคนิคการสร้างความสัมพันธ์ (Relationship) ผ่านกระบวนการละลายพฤติกรรมเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม และสอดแทรกเรื่องของการทำงานเป็นทีม รวมทั้งการออกแบบกิจกรรมละลายพฤติกรรมด้วยเส้นโค้งกระบวนการเรียนรู้ (Learning Curve) และลงมือปฏิบัติจริงโดยมีอาจารย์เม้ง ได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะการทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมของ YSDN แต่ละกลุ่ม ซึ่งผลที่ได้ทำให้ YSDN ภาคกลางได้เรียนรู้เทคนิคการออกแบบกระบวนการ และได้ลงมือปฏิบัติจริง ก่อให้เกิดทักษะการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นทีม YSDN ภาคกลางนักกระบวนกรสร้างสุข สร้างสรรค์สังคม ขับเคลื่อนงานลดปัจจัยเสี่ยงและป้องกันนักดื่มหน้าใหม่กับ สคล. ต่อไป

    ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
    – Facebook : สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคกลาง
    Link : https://web.facebook.com/SDNCentral
    – TikTok : สคล.ภาคกลาง
    Link : https://www.tiktok.com/@sdncentralregion

    ภาพและข่าว โดย สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคกลาง

  • พระสงฆ์ภาคกลาง ถกประเด็นปัจจัยเสี่ยงในงานบวชที่ส่งผลกระทบต่อสังคม พร้อมสนับสนุนพื้นที่ต้นแบบชูค่านิยมใหม่ งานบวชสร้างสุข ประหยัด เรียบง่าย ยึดพระธรรมวินัย

    พระสงฆ์ภาคกลาง ถกประเด็นปัจจัยเสี่ยงในงานบวชที่ส่งผลกระทบต่อสังคม พร้อมสนับสนุนพื้นที่ต้นแบบชูค่านิยมใหม่ งานบวชสร้างสุข ประหยัด เรียบง่าย ยึดพระธรรมวินัย

    กรณี เจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน จ.ปทุมธานี ขึ้นป้าย “ห้ามแตรวง กลองยาว ดนตรีแจ๊ส นางรำ เข้าในลานโบสถ์” เนื่องจาก ทำให้พระอุปัชฌาย์ และคู่สวด พระสงฆ์ต้องมานั่งรอนาน ทำให้ญาติผู้ใหญ่ ที่จะมาบวชลูกหลาน ต้องได้รับความลำบากและคนที่อุ้มผ้าไตรและถือสิ่งของยืนรอนานมาก กว่าจะได้แต่ละรอบ พร้อมขอท่านผู้เจริญแล้ว โปรดรักษา กฎ กติกา อย่าสนุกรื่นเริง ในความทุกข์ของผู้อื่น ที่กำลังเป็นกระแสในสังคม

    ประเด็นนำเข้าในเวทีการประชุมของพระสงฆ์นักพัฒนาสังฆะเพื่อสังคม ภาคกลาง/ปริมณฑล ในวันที่ 30 มีนาคม 2566 ณ วัดท่าหลวง จ.ลพบุรี โดยมีพระสงฆ์ในเครือข่าย โซนภาคกลาง/ปริมณฑล เข้าร่วมประชุม กว่า 20 วัด พร้อมผู้นำท้องถิ่นท้องที่ และภาคประชาสังคม เครือข่ายองค์กงงดเล้า (สคล.) มี พระครูภัทรธรรมคุณ,ดร. ประธานเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง เป็นประธานในพิธี ได้พูดคุยกันในประเด็นของการจัดงานบวชที่มีปัจจัยเสี่ยง ที่ส่งผลกระทบต่อสังคม

    จากการประชุมได้ยกกรณีศึกษา จากปัญหาที่เกิดขึ้นของวัดเวฬุวัน จ.ปทุมธานี ที่พระสงฆ์ และญาติผู้ใหญ่ที่ตั้งใจจะบวชลูกบวชหลาน ได้รับความเดือนร้อน จนเจ้าอาวาสต้องขึ้นป้าย ออกกฎระเบียบในการจัดงานบวชที่วัด

    โดยผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม คณะกรรมการวัดเวฬุวัน ทราบว่า ป้ายข้อความนี้ เห็นมาเป็น 10 ปีแล้ว เพราะทางวัดจะต้องมีกฎระเบียบ ถ้าให้แห่วนรอบโบสถ์แล้ว จะทำให้ผู้สูงอายุ ผู้อุ้มผ้าไตร อุ้มบาตร อัฐบริขารหลายๆ อย่าง จะไม่ไหว เพราะบางทีพวกนำหน้านาค ก็จะเมาแล้วมีเรื่องตีกัน จึงทำให้ต้องมีกฎระเบียบ โดยทางเจ้าอาวาสได้ขอให้ลูกศิษย์มาทำป้าย แม้กระทั่งกฎข้อห้ามที่ทางมหาเถรสมาคมสั่งให้ทุกวัดมีป้ายห้ามดื่มสุรา ของมึนเมาภายในวัด ก็มีการติดไว้เช่นกัน

    ที่ผ่านมาพระสงฆ์ในเครือข่ายเอง ก็ได้มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาโดยตลอดที่วัด ในเวทีครั้งนี้ได้มีโอกาสทบทวน ปัญหาของการทำงานที่มา ผลกระทบที่เกิดขึ้นของการจัดงานบวชที่เต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง อาทิ การลงทุนอย่างมหาศาลในการจัดงานบวช มีการเลี้ยงฉลองน้ำเมา สร้างค่านิยมผิดๆเกิดขึ้นในสังคม กลับกลายเป็นการปิดกั้นการเข้าถึงศาสนา ของคนในสังคมที่มีความต้องการจะบวช แต่ถูกค่านิยมที่ทับถมว่า จะบวชต้องมีเงิน ต้องเลี้ยงแขก ต้องมีมหรสพ ทั้งที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หลักใช่แก่นของงานบวชเลย

    พระสงฆ์เองได้มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ก็ยังมีข้อจำกัด และอุปสรรคในหลายๆอย่าง เนื่องจากเรื่องนี้ มีอยู่หลายส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่เจ้าภาพที่จะบวช กับพระสงฆ์ แต่มี สังคมที่เป็นผู้กำหนดค่านิยม มีคนวัด ไวยาวัจกร มรรคนายก ที่ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดรูปแบบของการจัดงานบวช ค่านิยมที่ฝังรากลึกมานาน เป็นสิ่งที่ยากที่จะเปลี่ยนแปลง ต้องอาศัยความร่วมมือ จากหลายส่วนในสังคม มาช่วยกันแก้

    ในตอนท้าย นายชัยณรงค์ คำแดง ผู้ช่วยผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) ผจก.โครงการการขยายผลการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะงานบวชสร้างสุข ได้กล่าวสรุปแนวทาง ในการขับเคลื่อนงานบวชสร้างสุข ตามที่ในเวทีในเวทีได้มีการแลกเปลี่ยนกัน ดังนี้

    1. มีต้นแบบ พระ วัด แล้วขยายแนวคิด หาเจ้าภาพต้นแบบ ด้วยความสมัครใจ

    2. ไม่หักดิบ ค่อยเป็นค่อยไป โดยหาคนที่มีใจ คนใกล้วัด ใกล้ธรรม

    3. ชี้ประโยชน์ แนะนำหลักที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ตามหลักพุทธธรรม บวชสร้างสุข คืออะไร อย่างไร ต้องอธิบายให้ชัดเจน ให้เห็นประโยชน์ร่วม ด้วยความรัก

    4. มีกระบวนการทำความเข้าใจจากเจ้าอาวาส คนที่ชาวบ้านนับถือ หรือทีม คณะทำงาน ที่จะทำหน้าที่สื่อสาร แทนพระ และเป็นผู้นำตามธรรมชาติอยู่แล้ว เช่น มัดทายก ไวยาวัจกร อุบาสก อุบาสิกา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน

    5. ต้องมีการสื่อสารเชิงบวก ทำความเข้าใจ ไม่ตำหนิ ยกย่อง เชิดชู ผู้บวช เจ้าภาพ ให้เห็นประจักษ์ เป็นผู้หนักแน่นในธรรม มีศรัทธา มีปัญญา

    6. สร้าง กติกา วัด ชุมชน เพื่อเป็นกติกากลาง เป็นภูมิคุ้มกันระดับชุมชน ตำบล อำเภอ เชื่อมถึง พชอ.

    7. ประสานแนวคิดบูรณาการ กับ โครงการอื่นๆ ไม่ทำเดี่ยว เช่น วัดประชารัฐ พลัง บวร วัดส่งเสริมสุขภาพ

    ในเวทีครั้งนี้ ได้มีการสนับสนุนพื้นที่ต้นแบบ ที่จะไปขับเคลื่อนเรื่องนี้ในระดับพื้นที่ของโซนภาคกลาง/ปริมฑล ต่อไป โดยมี มูลนิธิ สังฆะเพื่อสังคม สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) คอยหนุนเสริม และมีสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นผู้สนับสนุน


  • เครือข่ายพลัง บวร ภาคกลาง พัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ พร้อมผลักดันค่านิยมใหม่ บวชสร้างสุข

    เครือข่ายพลัง บวร ภาคกลาง พัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ พร้อมผลักดันค่านิยมใหม่ บวชสร้างสุข

    วันที่ 2 มีนาคม 2566 พระครูภัทรธรรมคุณ, ดร. เจ้าคณะอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ประธานเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ร่วมกับเครือข่ายพลัง บวร.(บ้าน วัด ราชการ) ภาคีหน่วยงานเชิงยุทธศาสตร์ระดับจังหวัดของภาคกลางตอนบน ปริมณฑล และ กทม. 6 จังหวัด (ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา และนนทบุรี) ประกอบด้วย คณะสงฆ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานควบคุมโรคที่ 4 ศูนย์อนามัยที่ 4 และประชาคมสุขภาพจังหวัด ร่วมประชุมขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ พัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ และขยายงาน “บวชสร้างสุข” โดยการสนับสนุนของเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ณ ห้องประชุมสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลพบุรี

    สืบเนื่องจากเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคม คือ กลุ่มพระสงฆ์นักพัฒนาทั่วทุกภูมิภาค กับเครือข่ายพลัง บวร ในพื้นที่ ได้ร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพพระสงฆ์ สุขภาพชุมชนและสังคม เพื่อสนองงานคณะสงฆ์และสนับสนุนนโยบายการพัฒนาของทางราชการ อาทิ มติมหาเถรสมาคม ที่ 191/256 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 เรื่องการดำเนินงานพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะ (การขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 มติ 7) และประกาศธรรมนูญพระสงฆ์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ใช้เป็นกรอบการพัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ทั่วประเทศ ที่มีเป้าหมายสำคัญ 3 ประการ คือ 1) พระสงฆ์กับการดูแลสุขภาพตนเอง 2) ชุมชนและสังคมกับการดูแลอุปัฏฐากพระสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัย และ 3) บทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม โดยยึดหลักการ “ใช้ทางธรรม นำทางโลก” ด้วยมาตรการ 5 ด้าน คือ ความรู้ ข้อมูล การพัฒนา การบริการสุขภาพ และการวิจัย  คณะสงฆ์ได้ดำเนินยุทธศาสตร์การปฏิรูปพระพุทธศาสนาทั้ง 6 ด้าน และนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ได้สนับสนุนการสานพลังเครือข่ายเพื่อสนองงานคณะสงฆ์ ตามคำมั่นสัญญา “เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”

    นอกจากการประชุมชี้แจงผลการดำเนินงานแล้ว เพื่อให้เกิดการขยายงานให้มากขึ้น ในที่ประชุมจะได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วย การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะพัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ ภายใต้ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ พ.ศ. 2560 โดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายพลัง บวร (บ้าน วัด ราชการ) ภาคกลาง ระหว่างคณะสงฆ์ องค์การบริหารส่วนจังหวัด สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ประชาสัมพันธ์จังหวัด สำนักงานควบคุมโรค ที่ 4 ศูนย์อนามัยที่ 4 ประชาคมสุขภาพจังหวัด ทุกจังหวัด เพื่อพัฒนาสุขภาวะพระสงฆ์ ภาคกลาง ให้บรรลุเป้าหมาย “พระแข็งแรง วัดมั่นคง ชุมชนเข้มแข็ง” และขยายการดำเนินงานนโยบายสาธารณะงานบวชสร้างสุข เป็นงานบวช “เรียบง่าย งามสะอาด ประโยชน์สูง ประหยัดสุด เสมอภาคกัน” เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรม สืบสานพระศาสนา แก้ปัญหาวิกฤติ ลดหนี้ ปลอดโรค ปลอดภัย

    โดยภายในข้อตกลงจะมีการร่วมมือกันดำเนินงาน ดังนี้

    1. ร่วมกันส่งเสริมให้พระสงฆ์มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถปรับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง อุปัชฌาย์อาจารย์ และเพื่อนสหธรรมิกได้อย่างเหมาะสม

    2. ชุมชนและสังคมร่วมกันเป็นธุระดูแลอุปัฏฐากพระสงฆ์ตามหลักพระธรรมวินัย ทั้งในยามปกติ และยามอาพาธ          

    3. ส่งเสริมบทบาทพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาวะของชุมชนและสังคม โดยสนับสนุนให้วัดและชุมชนปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อสุขภาพ ลดปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการสื่อสารสาธารณะถึงกิจกรรมเชิงพุทธ อาทิ วัดปลอดเหล้า บุหรี่ การพนัน งานบุญประเพณีปลอดเหล้า งานบวชสร้างสุข เป็นต้น โดยจะก่อให้เกิดความเชื่อมโยงและสัมพันธภาพที่ดี ให้เกิดขึ้น ระหว่างวัดกับชุมชน ทำให้ “พระสงฆ์มีสุขภาพแข็งแรง วัดมีความมั่นคง ชุมชนมีความเข้มแข็ง” สืบไป

  • ถอดบทเรียน : งานบวชสร้างสุข “ร่วมอุดมการณ์ ร่วมใจ ร่วมกลไก เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง”

    ถอดบทเรียน : งานบวชสร้างสุข “ร่วมอุดมการณ์ ร่วมใจ ร่วมกลไก เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง”

    เมื่อวันที่ 19 -20 พฤศจิกายน 2565 คณะทำงานกลไกขับเคลื่อนเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง  ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง กระบวนการจัดการความรู้ : ถอดบทเรียน “งานบวชสร้างสุข” ภาคกลาง ในฐานะ ทีมงานร่วมอุดมการณ์ ร่วมใจ กลไกสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ณ อุ่นเรือน รีสอร์ท อ.เมือง จ.นครนายก มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 19 คน ประกอบด้วย แกนนำเครือข่ายพระสงฆ์นักพัฒนา พุทธอาสา นักวิชาการ ผู้ประสานเครือข่าย สคล.ระดับจังหวัดและระดับภาคภาค เพื่อเสริมทักษะการถอดบทเรียน สร้างการเรียนรู้ (อารมณ์/ความรู้สึก และ การสังเกตการณ์) อย่างมีส่วนร่วม และเพื่อพัฒนากลไกในการขับเคลื่อนงานบวชสร้างสุขโดยมี พระครูภัทรธรรมคุณ, ดร. เจ้าคณะอำเภอพัฒนานิคม รักษาการประธานเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง เป็นประธานเปิดการอบรม

    พระปัญญา จิตฺปญโญ, ดร. ผู้จัดการเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ชี้แจงวัตถุประสงค์ความเป็นมา แนะนำวิทยากร ตลอดจนอธิบายถึง คุณค่า/ความหมายในการจัดกระบวนการพัฒนาศักยภาพ “ทีมงาน” เปรียบเสมือนการ “ติดอาวุธทางปัญญา” ที่มีทั้งแบบลุ่มลึกต้องอาศัยวิจารณญาณในการคิดตาม และ แบบซึ่งหน้า ตรงไปตรงมา ชัดเจน เข้าถึงง่าย ซึ่งหากนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ย่อมสามารถบรรลุเป็นมรรคเป็นผลได้ ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลาย ตามกำลังสติปัญญาและความเพียรของแต่ละคน กระบวนการอบรมในครั้งนี้ เป็นไปตามหลักธรรม คือ มีลักษณะเป็น “อกาลิโก” ทันสมัย ถูกกาลเวลา ซึ่งวิทยากร และทีมผู้จัด ได้ออกแบบมาอย่างละเมียดละไม สาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

    1) ในเบื้องต้น ใช้กลยุทธ์ “สังฆะนักพัฒนาอาสานำ พุทธอาสาตาม” เริ่มด้วยการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์งาน “บวชสร้างสุข” จาก “นิยาม/ความหมาย” ที่เป็นแก่นแท้ของ “การบวช” โดยมีท่านมหาทนงชัย บูรณพิสุทธิ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคกลาง และ มหาประชาญ มีสี ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดสิงห์บุรี ได้นำประสบการณ์ในฐานะที่เคยบวชศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม จนสำเร็จเป็นมหาจริงๆ ถึงเปรียญธรรม 7 ประโยค และ เปรียญธรรม 3 ประโยค ตามลำดับ

    รศ.ดร.กาสัก เต๊ะขันหมาก ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นวิทยากรกระบวนการ ได้อธิบายเชื่อมประเด็นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เข้าสู่หลักการ แนวคิด กระบวนการถอดบทเรียน โดยใช้เทคนิค “เพื่อนช่วยเพื่อน” นั่นคือ การหยิบยกตัวอย่างการถอดบทเรียนพื้นที่อื่น ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ข้อดี คือ ผู้เข้าร่วม/ผู้เรียน จะสามารถเชื่อมกับประสบการณ์การทำงานของตนเองในพื้นที่ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว (ประหยัดเวลา/ช่วยให้ผู้เรียนไม่ฟุ้ง) โดยเน้นให้เห็น/เข้าใจ/ตระหนักว่า “หัวใจ” ของกระบวนการถอดบทเรียน ใช้การแบ่งกลุ่มย่อย (3 กลุ่ม ๆ ละ 3-4 รูป/คน) เป็นเครื่องมือ กระตุ้นให้ “ผู้เรียน” ได้นำความรู้จากประสบการณ์ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ภายใต้โจทย์แรก คือ การวางกรอบแนวคิด Conceptual Flame Work “งานบวชสร้างสุข”

    บรรยากาศการเรียนรู้ ช่วงนี้ เป็นเรื่องของการ “เปิดจิตจูนใจ” ละมุน ละไม หากว่ากันที่ “แก่นธรรม” คำสอนของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์มีองค์ความรู้ ชัดแจ้ง ขณะที่ฝั่งฆราวาส ก็มี “แก่นแห่งศรัทธาและทาน” ที่เหนียวแน่น คารวะธรรม และกัลยาณมิตร จึงเจืออยู่ในทุกขณะจิตของ ผู้เรียน ผู้สอน และผู้จัด ทุกคนตระหนัก และ รับรู้ได้ถึง สภาวะการเรียนรู้ ในแบบที่เรียกได้ว่า “เราเป็นดั่งครูของกันและกัน” ทำให้ทุกคนมองเห็นทางสว่าง ในการเชื่อมงานทางโลก และทางธรรม เข้าด้วยกัน

    2) ในท่ามกลาง ใช้กลยุทธ์ สังฆะอาสานำ พุทธะอาสาหนุน อบอุ่นด้วย รักและสามัคคีที่มีพลัง โดยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของกลุ่มย่อย และให้ “เพื่อนร่วมเรียนรู้” แต่ละกลุ่ม ช่วยกัน “เติมเต็ม/ต่อยอด” เน้นกระบวนการมีส่วนร่วม เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกคน ต้องกลับถิ่นฐาน ไปจัดการความรู้ “บวชสร้างสุขบ้านตัวเอง” ก่อนจะนำมา แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนอีกครั้ง เพื่อมองหาโอกาสในการ “ต่อยอด/ขยายผล” ต่อไป จังหวะนี้ทำให้นึกถึงสุภาษิตไทยที่ว่า “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ

    3) ในบั้นปลาย วิทยากรหลัก ได้หยิบยกบทความ “ปลาร้า…รากเหง้าภูมิปัญญา สู่การพัฒนาสุขวิถีอย่างยั่งยืน” มาให้ “ผู้เรียน” ได้เรียนรู้ร่วมกัน โดยชั้นแรกให้ทุกคนอ่าน (อยู่กับตัวเอง เรียนรู้การอ่านจับประเด็น) จากนั้น ตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ว่าอ่านแล้ว ใคร สะดุดใจ กับ “คำเด่น” หรือ “ประโยคเด็ด” ไหนบ้าง (ข้อดีของการเรียนรู้แบบนี้คือ “ผู้สอน” วัดความรู้/ความเข้าใจ “ผู้เรียน” ได้ และ “ประเมินได้ว่า ควรจะเติมอะไร อย่างไรให้ผู้เรียน”

    จากนั้น ผู้จัดการฯ ในฐานะวิทยากรร่วม ได้ออกแบบให้ “ผู้เรียน” ได้ฝึก/พัฒนาทักษะ “การประเมินตนเอง” แบบมีส่วนร่วม ด้วยเครื่องมือง่ายๆ ในการสรุปบทเรียนหลังจบปฏิบัติการ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า After Action Review : AAR โดยใช้กระดาษ 3 สี ๆ ละ แผ่น โดย แผ่นที่ 1 (สีเขียว : ใน 2 วันนี้ ท่านได้ความรู้ใหม่อะไรบ้าง) แผ่นที่ 2 (สีส้ม : ใน 2 วันนี้ อยากบอกและชื่นชม อะไร อย่างไรบ้าง) และ แผ่นสุดท้าย (สีชมพู : แล้วท่านจะนำความรู้ที่ได้จาก 2 วันนี้ กลับไปทำอะไร อย่างไรบ้าง)

    ความรู้ที่ได้ (จากกระดาษสีเขียว)

              1.ความรู้ทางโลก

    • เปิดโลกทัศน์
      • สถานที่
      • บุคคล : จากการพบปะ เสวนา และ แลกเปลี่ยนเรียนรู้
    • กระบวนการถอดบทเรียนในเชิงทฤษฎีเชื่อมกับประสบการณ์การปฏิบัติจริง
      • การเก็บข้อมูล : เรื่องอะไร/เก็บกับใคร (ใครคือผู้รู้)/ใช้เครื่องมืออะไร
      • การวิเคราะห์ข้อมูล : สาระสำคัญในข้อมูล/ความเชื่อมโยงของข้อมูล
      • กรอบแนวคิด/องค์ประกอบ : ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ และ ผลลัพธ์ (Output Outcome Impact)
      • กระบวนการทำงาน : มีขั้นตอน สนุก มีสาระ
    • การบริหารจัดการงาน/การบูรณาการเครือข่าย
      • การทำงานเป็นระบบ : 1) โจทย์ 2) ประเด็น 3) เก็บข้อมูล 4) วิเคราะห์ 5)สังเคราะห์ข้อมูล และ 6) สรุปผลการดำเนินงาน
      • การเชื่อมคน/งาน/สิ่งแวดล้อม
      • การตั้งคำถาม : การสร้างชุดคำถาม ,แบบสอบถาม/สัมภาษณ์ ครอบคลุมรอบด้าน เช่น โครงการบวชสร้างสุข (นาค,ญาติ,อุปัชฌาย์,ผู้นำฯ ฯลฯ)

    2.ความรู้ทางธรรม

    • คุณค่า/ความหมาย “การบวช”
    • วัฒนธรรมองค์กรของ คณะสงฆ์ที่ควรรู้ นำสู่การปรับใช้ในการทำงาน
    • วิถีปฏิบัติของพระสงฆ์ตามพระธรรมวินัย
    • แง่มุมการบวช มิติใหม่ๆ

    ชื่นชม/ให้กำลังใจ (กระดาษสีส้ม)

    • สถานที่ : สับปายะ ท่ามกลางการสนับสนุนของพลังบวร ก่อเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบ “วิสาสา ปรมา ญาติ” มีการเชื่อมกับพลังธรรมชาติ (เขื่อนขุนด่านปราการชล) ทำให้ผ่อนคลาย
    • บรรยากาศในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ : เป็นกันเอง /ไม่เครียด /รู้สึกมีคุณค่า ที่ได้มีส่วนร่วม ได้รับพลัง ทางความรู้/ความคิด
    • วิทยาการ : ชื่นชมวิทยากรที่ตั้งใจ ทุ่มเทออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
    • คณะทำงาน : มีความตั้งใจ ร่วมมือ ร่วมใจกัน เปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ทุกท่านสามารถให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์นำไปต่อยอดในพื้นที่ได้/เห็นพัฒนาการตนเอง /ทีมงาน
    • ทีมพระสงฆ์นักพัฒนารุ่นใหม่ : มีความตั้งใจเรียนรู้ /ให้ความรู้/เสียสละ (เวลา/ความคิด) /ให้คำปรึกษาและแนะนำดี (พระสงฆ์ 3 รูปจาก อ.พัฒนานิคม เป็นดาวรุ่ง ของ วงการเครือข่ายพระสงฆ์ ขออนุโมทนาสาธุ) ชื่นชมความตั้งใจทุกรูปในการทำงานบวชสร้างสุข
    • เนื้อหา/กระบวนการ :
      • เนื้อหา : แนวทาง หลักการทำงาน ชัดเจน ทำให้สามารถนำไปทำงานต่อในพื้นที่ได้
      • การออกแบบกระบวนการ

    สิ่งที่จะกลับไปทำต่อ (กระดาษสีชมพู)

    • ออกแบบกรอบแนวคิด/กระบวนการถอดบทเรียนและเขียนรายงานเชิงวิจัย
    • มีพลังความเชื่อมั่นที่จะกลับไปดำเนินงานต่อในพื้นที่
    • ทำงานบวชสร้างสุขให้มีรูปธรรมมากขึ้น
    • นำความรู้
    • พัฒนากระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล/จัดเรียงข้อมูล/เชื่อมโยงข้อมูลในการพัฒนางาน 1 ชุมชน/เพื่อนมิตรธรรม ร่วมเรียนรู้
      • พัฒนาคน/ชุมชน (วิเคราะห์คน/วิเคราะห์งาน) ได้อย่างเป็นระบบ
      • ลงพื้นที่ ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ กับเจ้าอาวาส /ผู้นำชุมชน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเก็บข้อมูลอย่างมีขั้นตอน
      • ต่อยอดกระบวนการทำงานโครงการกิจกรรม (กรอบแนวคิดการถอดบทเรียน : เชิงวิชาการ ทำให้เกิดความเชื่อมั่น/มั่นใจมากขึ้น
      • ถอดบทเรียนการทำงาน “บวชสร้างสุข”ในชุมชน (วัดโคนอน อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี)
      • ทำหน้าที่ Back stopping ลมใต้ปีกให้กับขบวนการสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ในฐานะ พุทธะอาสาด้านวิชาการ/การสื่อสาร
      • สื่อสารสาธารณะ/สร้างกระแสบวชสร้างสุข
    • ต่อยอด/ขยายผล
      • แบบอย่างการทำงานเป็น “ทีม”
      • นำ “บวชสร้างสุข”ขยายผลสู่วัดอื่นๆ ต่อไป
      • ขยายความรู้/ความเข้าใจงานโครงการบวชสร้างสุขในพื้นที่ ให้มากขึ้น

    อารีย์  เหมะธุลิน พุทธอาสาด้านวิชาการ รายงาน

  • พลังเครือข่ายผู้ประสานงานประชาคมงดเหล้าภาคกลาง กับภารกิจการเจียระไนเพชรเม็ดงาม

    พลังเครือข่ายผู้ประสานงานประชาคมงดเหล้าภาคกลาง กับภารกิจการเจียระไนเพชรเม็ดงาม

    เมื่อวันที่ 10 -11 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคกลาง นำโดยนายทนงชัย  บูรณพิสุทธิ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคกลาง และ ผู้ประสานงานประชาคมงดเหล้าภาคกลาง 8 จังหวัด ได้จัดค่ายพัฒนาศักยภาพคนหัวใจเพชร ณ  โชติกาธารา รีสอร์ท จ.นครนายก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพคนหัวใจเพชร สู่บันไดผลลัพธ์ 3 ขั้น คือ

    • เพื่อสร้างอุดมการณ์ของคนหัวใจเพชร (อุดมคติ/เจตคติ)
    • เพื่อพัฒนาคนหัวใจเพชรให้มีความรอบรู้ทางด้านสุขภาพที่ดี (Heal Literacy) และ ความรู้ด้านกฎหมาย  พรบ. ALC
    • เพื่อให้คนหัวใจเพชรได้ฝึกทักษะ (Skill) การสื่อสาร (Public Speaking) และ การพูด จูงใจ (Motivation) ควบคู่กับการเสริมพลัง คน และชุมชน

    รูปแบบการจัดการอบรมครั้งนี้ เน้นพลังการมีส่วนร่วมของเครือข่ายผู้ประสานงานประชาคมงดเหล้าภาคกลาง ในทุกขั้นตอน (ออกแบบ วางแผน ร่วมกันเป็นวิทยากรจัดกระบวนการเรียนรู้ และ ประเมินเสริมพลังคนหัวใจเพชร/ตนเอง และ ทีม) โดยมีแกนนำคนหัวใจเพชร จาก ภาคกลางจาก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสิงห์บุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, สระบุรี, นนทบุรี และ ปทุมธานี เข้าร่วมกว่า 65 คน

    บรรยากาศในการอบรมเป็นไปอย่างอบอุ่น เริ่มเช้าวันแรก ด้วยการฟังด้วยหัวใจ จากการทักทายทำความรู้จักกัน ตามด้วยการเติมความรอบรู้ทางสุขภาพ (health literacy) และ สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2565  จาก สำนักงานควบคุมป้องกันโรคที่ 4 (นางสาวอภิญญา พิทักษ์นัยกุล) สระบุรี และ นักวิชาการสาธารณสุขโรงพยาบาลนครนายก     (นายเจนณรงค์  บางเส็ง) ตามลำดับ ต่อด้วย การฝึกทักษะการสื่อสาร/สร้างแรงจูงใจเสริมพลังคน ชุมชนเพื่อการลด ละ เลิกเหล้า-บุหรี่ ผ่านเกมส์จิ๊กซอ และ คนต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจ (ignite)  จากนั้น เป็นการเสริมพลังใจเติมเต็มกระบวนการเรียนรู้ โดย รศ.ดร.กาสัก  เต๊ะขันหมาก  ที่ปรึกษาทีมนักวิชาการภาคกลาง

    แดดร่มลมตก เว้นจังหวะให้ทุกคนได้รู้จักกันมากขึ้น ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายเป็นกันเอง ตามอัธยาศัย และ ส่งเข้านอนด้วย กระบวนการฟังอย่างลึกซึ้ง  “ชีวิตใหม่กับก้าวย่างที่มั่นคง ด้วยขาเทียมคู่ใจ” จาก “น้องเต๋า” (ไทเกอร์  วุฒวัย) เยาวชนผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำเมา

    วันที่สอง รับเช้าวันใหม่ด้วยระฆังแห่งสติ กับการทบทวนวันวาน สะท้อนการรับรู้ (อารมณ์ /ความรู้สึก) และ การเรียนรู้ (สิ่งที่ได้เรียนรู้/นำกลับไปใช้) ตามด้วยการระดมความคิด-ระดมใจ ใฝ่สำเร็จกับงานชมรม-คนหัวใจเพชร (Best practice)  และแน่นอนว่า งานเราจะดีขึ้น เก่งขึ้นไม่ได้ หากเราไม่หันกลับมามองตนเอง จึงได้จัดกิจกรรมฝึกทักษะการประเมินตนเองแบบมีส่วนร่วม ผ่าน Google form ขึ้น และ ทำการการคืนข้อมูลผลประเมิน โดย นายทวีศักดิ์  กันตี

    จากข้อมูลในเวที นายธิติ  ภัทรสิทธิกฤษ ผู้ประสานงานเครือข่ายเข้มแข็ง และ รศ.ดร.กาสัก  เต๊ะขันหมาก ได้มาช่วยเสริม เติมเต็ม พร้อมเสริมพลังใจ ให้กับคนหัวใจเพชร ภายหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรม ได้มอบเกียรติบัตรให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ โดยพระปลัดอเนก ปุณณวุฑโฒ เจ้าอาวาสวัดโคนอน/ทีมนักวิชาการสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ผู้เข้าร่วมทุกคนต่างมีพลังใจ และมีองค์ความรู้ที่พร้อมขับเคลื่อนงานงดเหล้าต่อไป

    อารีย์  เหมะธุลิน รายงาน

  • เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ปริมณฑล และกรุงเทพมหานคร ประชุมกลไกการขับเคลื่อนงาน ปรับกลยุทธ์การทำงานเชื่อมงานระหว่าง พุทธอาสา และสังฆะอาสา

    เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ปริมณฑล และกรุงเทพมหานคร ประชุมกลไกการขับเคลื่อนงาน ปรับกลยุทธ์การทำงานเชื่อมงานระหว่าง พุทธอาสา และสังฆะอาสา

    เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคม ได้จัดการประชุมกลไกการขับเคลื่อนงาน เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ปริมณฑล และ กรุงเทพมหานคร ขึ้น ณ วัดนิคมพัฒนาราม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 30 คน ประกอบด้วย แกนนำ เครือข่ายพระสงฆ์ พุทธอาสา นักวิชาการ ผู้ประสานเครือข่ายระดับจังหวัด ภาค และ สคล. มีวัตถุประสงค์ เพื่อทบทวนกระบวนการทำงาน (เราคือใคร ?) สะท้อนปัญหา/วิเคราะห์จุดอ่อน/จุดแข็ง (ที่ผ่านมา เราเป็นอย่างไร?)  และ วางยุทธศาสตร์ รวมถึงปรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนงาน ปี 2565 (เราจะร่วมเดินกันอย่างไร ?) โดยมี พระครูภัทรธรรมคุณ ดร. เจ้าคณะอำเภอพัฒนานิคม/เจ้าอาวาสฯ เป็นประธานการประชุม  

    พระปัญญา จิตฺปญโญ ผู้จัดการเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง ชี้แจงวัตถุประสงค์ความเป็นมา ตลอดจน ผลงานของเครือข่ายสังฆะภาคกลาง สาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

    1) เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมรวมตัวกันเป็นมูลนิธิสังฆะเพื่อสังคม (คน+ทุน) มีการระดมทุนโครงการต่าง ๆ จาก สสส. เพื่อพัฒนาสุขภาพพระสงฆ์ อาทิเช่น โครงการวัดปลอดเหล้า บุหรี่ การพนัน โครงการบวชสร้างสุข และมีการดำงานตามกิจกรรมจากแหล่งทุนที่กำหนดไว้

    2) กองทุนสุขภาวะเพื่อจัดสวัสดิการแก่พระสงฆ์ที่อาพาธ มรณภาพ ซึ่งได้มาจากการสมัครสมาชิกกองทุนในช่วงเวลาที่ผ่านมา เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคม ได้ให้การช่วยเหลือด้านกำลังทรัพย์ ทั้งต่อตัวพระสงฆ์และ เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นแก่ประชาชนในสังคม เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย

    พันธกิจหลักขององค์กร คือ            

    1. เป็นกลไกในการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์ ในการพัฒนาสุขภาวะของพระสงฆ์

    2. เพื่อทำงานพัฒนา/สาธารณะสังคม โดยการจัดสวัสดิการดูแลสมาชิกเครือข่ายพระสงฆ์ในยามอาพาธ มรณภาพ

    จุดแข็ง : มีผู้รู้ที่หลากหลาย มีประสบการณ์ (ฆารวาสและพระสงฆ์) , คณะทำงานมีใจอุทิศตน/มีอุดมการณ์มีแกนนำพระสงฆ์เป็นหลักเข้มแข็ง , กลไกการทำงานที่ชัดเจน เข้มแข็ง, ระเบียบ กฎหมาย เป็นเครื่องมือในการทำงาน , มีทีมบริหารเครือข่ายเข้มแข็ง ชัดเจน

    จุดอ่อน : พระนักพัฒนามีน้อย, ไม่ค่อยทำงานอุทิศตนอย่างจริงจัง ,ขาดเป้าหมายร่วมกัน/ขาดการประสานงานร่วมกัน, พบพฤติกรรมการดื่ม/สูบของชุมชน (บางแห่ง) , ขาดการประชาสัมพันธ์ อย่างทั่วถึง เช่น ป้ายการบังคับใช้กฎหมาย, เครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมยังมีไม่ครอบคลุมทุกจังหวัด อีกทั้ง ยังขาดการเชื่อมโยงและประสานงานของผู้ใหญ่ในชุมชนให้เข้าใจงานสังฆะเพื่อสังคม

    โอกาส/ความท้าทาย : มีเครื่องมือช่วย ทำให้ทำงานง่ายขึ้น (กิจกรรมพุทธรรมและกิจกรรมเสริมต่างๆ) ,  ทำกันบ่อย ๆ ทำต่อเนื่อง(พร่ำทำ) , ด้วยกิจกรรมที่ทำอยู่, มีสื่อโซเชียล (พระครูสุวัฒน์เสนอแนะ) , ใช้ประโยชน์จากธรรมนูญสุขภาพ , ใช้กองทุนเสริมสร้างสุขภาพพระสงฆ์ (ทำให้วัดเข้มแข็ง พระสงฆ์แข็งแรง)

    กลยุทธ์ยุทธวิธีในการทำงาน

    1.อำเภอพัฒนานิคม: อุ้มน้อง ประคองพี่ กอดคอเพื่อน “สามัคคีธรรม

    2. อำเภอโคกเจริญ : คิดให้คม ลงมือทำให้ชัด สื่อสารให้เป็น

    3. อำเภอชัยบาดาล : เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ป่าล้อมเมือง ถักทอเครือข่าย

    4.อำเภอบางระจัน จ.สิงห์บุรี มองให้ไกลไปให้ถึงเป้าหมายต้องชัด กำกับ ติดตามประเมินเสริมพลังต่อเนื่อง สม่ำเสมอ

    แนวทางการดำเนินงาน ปี 2565 ของเครือข่ายสังฆะเพื่อสังคมภาคกลาง 

    1. พระสงฆ์ต้องทำงานแบบอุทิศตน ออกไปช่วยสังคมเพิ่มมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาสังคม โดยเฉพาะเยาวชนกลุ่มเสี่ยง และ ญาติโยมที่จิตใจอ่อนแอ 
    2. สนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของพระสงฆ์ที่มีประโยชน์ต่อสังคม เน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วม และพัฒนา ผู้ที่มีจิตเดียวกัน (จิตบริสุทธิ์) เพิ่มพลัง ศักยภาพ ผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งความรู้วิชาการ การจัดการความรู้และกิจกรรมพัฒนา ตามจังหวะ หน้าที่ บริบทของพื้นที่ที่แตกต่างกัน
    3. การดำเนินการโครงงานต้องทำตามวัตถุประสงค์เราคือพระรุ่นใหม่

    (ต้องเป็นนักปฏิบัติ และบริหาร อย่างต่อเนื่อง)

    • นำข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติงานมาวิเคราะห์และสรุปเชิงวิชาการ และ สื่อสารให้เกิดมรรคผลในการก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
    • การทำงานของคณะทำงานต้องเป็นแบบวงล้อธรรมวินัย เพื่อการพัฒนา คิดใหม่ ทำใหม่ ร่วมกัน
    • มีการเชื่อมโยงงาน/บูรณาการกับงานคณะสงฆ์ที่ทำอยู่ รวมถึงประสานการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในท้องที่/ท้องถิ่น อย่างเข้าใจ และ มีความสุข

    มติที่ประชุม

    1. เห็นชอบให้มีการประชุม อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ 2 เดือน/ครั้ง (ทุกวันที่ 13 ของเดือน ไม่ตรงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันพระ) ทั้งนี้ ต้องเตรียมความพร้อมล่วงหน้า (ทีมงาน หัวข้อ ผลงาน)  
    2. เห็นชอบการเชื่อมโยงข้อมูล ข่าวสาร ใกล้ชิด และ สื่อสารต่อเนื่อง (ออนไลน์และออฟไลน์)
    3. เห็นชอบการทำงานในรูปแบบเครือข่าย ทั้งนี้ควรมีสื่อประชาสัมพันธ์ ครอบคลุมทุกระดับ (จังหวัด อำเภอ ตำบล ชุมชน วัด หน่วยงาน) ตลอดจน ทีมงานย่อยเพิ่มเติม เพื่อช่วยคิด ทำเพิ่ม ทำต่อ เช่น ทีมงานธุรการ (สรุปเวที 1 page) ทีมงานวิชาการ ทีมงานสื่อสารมวลชน ทีมประสานงาน เป็นต้น การประชุมครั้งต่อไป วันที่ 13 ตุลาคม 2565

    บทเรียนข้อค้นพบ

    1.ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ทำให้เราตระหนักในปัญหา อีกทั้ง การมีรากเหง้า แก่นธรรม เป็นมูลเหตุในการ   Take action เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของสังฆะอาสา และ พุทธอาสา

    2. SWOT ทำให้เราเห็นเหตุชัด (เข้าถึง เข้าใจ แจ่มกระจ่าง) ไร้ซึ่งมายาคติ เราจะเริ่มมองเห็นหนทาง ในการดับเหตุแห่งกองทุกข์นั้น (ภายใน/ภายนอก) ได้ เป็นที่มาของคำว่า “ใจเป็นสุข กายเป็นสุข”

    3. ฟังด้วยใจ ตาสว่าง พลังบังเกิด ฉันทำนั่น เธอทำนี่ เกิดกลไก “สังฆะอาสา พุทธอาสา” (ปรับโครงสร้าง/ พัฒนากลไกการทำงาน)

    4.เมื่อมีเป้าหมายชัด ปลดล็อกวิธีการ เห็นหนทางคลายปมปัญหา จึงเกิดการวางจังหวะวิสาสาปรมาญาติ (2 เดือน/1 ครั้ง)

    5. การอยู่กับปัจจุบันขณะ (Be present) = ความสามารถในการยืดหยุ่น/ปรับตัว (Empathy)

    อารีย์  เหมะธุลิน พุทธอาสาด้านวิชาการ รายงาน