Tag: จันทบุรี

  • แกนนำคนงดเหล้าเข้าพรรษาภาคตะวันออก เล่าประสบการณ์ผ่านการสื่อสาร

    แกนนำคนงดเหล้าเข้าพรรษาภาคตะวันออก เล่าประสบการณ์ผ่านการสื่อสาร

    การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเครือข่ายงดเหล้าทำงานมาแล้ว 20 ปี มีประเด็นมากมายที่เราดำเนินงานและขับเคลื่อนแต่ยังไม่ได้ถูกสื่อสารออกไปให้คนทั่วไปรู้โดยทั่วกัน

    ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบัน มีผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น โดยมีทั้งผู้หญิงและเด็กที่เป็นนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น และมีการเข้ามาของกัญชาและกระท่อมที่เข้ามาเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงมากขึ้น เราจึงจำเป็นต้องสื่อสารการทำงานของเราโดยเฉพาะ การเลิกเหล้า ที่เรามีประสบการณ์ เพื่อถ่ายทอดการเรียนรู้และความสำเร็จนี้สู่สาธารณะ เผื่อจะได้เป็น “Influencer ด้านสุขภาวะ”

    คุณค่าที่เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันคือคุณค่าของความสัมพันธ์และประสบการณ์ ผ่านการเรียนรู้ผู้อื่น จากการคุยและเรียนรู้ ในงานเครือข่ายงดเหล้าเช่นเดียวกัน การทำงานเพื่อเปลี่ยนทัศนคติการดำเนินชีวิตของแต่ละคนเป็นเรื่องยาก โดยไม่เอาความคิดของตนไปยัดใส่มุมมองของผู้อื่น

    การอบรมพัฒนาศักยภาพคนงดเหล้าเข้าพรรษา (นักสื่อสารสุขภาวะ) วันที่ 23 – 24 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรมทีวินเทจ (T-Vintage) บางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยได้รับการแบ่งปันประสบการณ์ทางการดำเนินงานประเด็นสื่อจากวิทยากร ทีมกระบวนกรศูนย์สื่อสร้างสรรค์แห่งประเทศไทย คุณวิชดา นฤวรพัฒน์, คุณชุติมา เรืองแก้วมณี และนายปรัชญาวุติ ปัญญาวัย

    ในการพัฒนาการสร้างสื่อ ทั้งแนวคิดการออกแบบเนื้อเรื่อง การเรียนรู้การจัดองค์ประกอบของภาพ รวมถึงการมีมุมมองในการเผยแพร่ทัศนคติในการชวนเพื่อน พี่น้อง และครอบครัว รวมถึงคนทั่วไปในชุมชน ลด ละ เลิกในการดื่มเครืองดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อสร้างสุขภาพที่ดี ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากปัญหาน้ำเมา โดยเครือข่ายประชาคมงดเหล้าภาคตะวันออก ได้ร่วมมือสร้างสรรค์คลิปรณรงค์เพื่อฝึกฝนและนำไปต่อยอดในพื้นที่ เพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ และรณรงค์งดเหล้าเข้าพรรษา ปี 2566

  • สงกรานต์สุขใจ ตะปอนผลักดันวัฒนธรรมไทยสู่ Soft Power

    สงกรานต์สุขใจ ตะปอนผลักดันวัฒนธรรมไทยสู่ Soft Power

              เครือข่ายงดเหล้าภาคตะวันออกพร้อมส่วนงานบุญประเพณี และนโยบายสาธารณะ ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด วัฒนธรรมจังหวัด ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจังหวัดจันทบุรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตะปอน และชาวบ้านชุมชนตำบลตะปอน ได้มีการจัดงานสืบสาน รักษา มรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น “ประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท” จังหวัดจันทบุรี ประจำปีงบประมาณ 2566 โดยมีงานกำหนดการแถลงข่าวของงานข้างต้น ในวันที่ 7 เมษายน 2566 ณ ศาลาร่วมใจ วัดตะปอนใหญ่ ตำบลตะปอน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี

    โดยเริ่มจากนายวิสุทธิ์ ประกอบความดี รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้เริ่มการแถลงข่าวเกี่ยวกับแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม ในงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปีพุทธศักราช 2566 ภายใต้ชื่อ “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” ซึ่งมีการประกาศมาตรการ ดังนี้

    • เน้นการจัดกิจกรรมด้านศาสนาและวัฒนธรรมประเพณี มีการรณรงค์การทำความสะอาดบ้าน วัด ส่งเสริมการทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่ไทย และแสดงถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทย
    • มีการรณรงค์การสวมผ้าไทยในการเข้าร่วมประเพณี เพื่อรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงามของไทย
    • ส่งเสริมการจัดแสดง “รำวงเขี่ยใต้” “ละครเท่งตุ๊ก” ซึ่งเป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวจันทบุรี เพื่อรณรงค์คงไว้ และเป็นการสร้างรายได้สู่ชุ่มชน
    • สร้างความตระหนักถึงวัฒนธรรมที่ถูกต้อง เหมาะสม ทั้งในเรื่องของการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย การเฝ้าระวังถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเพณีและชุมชน
    • ให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดคิด
    • รักษาวินัยจราจร ลดปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่ต่าง ๆ
    • การรักษาสุขภาพ สวมแมสก์ ล้างมือ เมื่อพบกับลูก ๆ หลาน ๆ ที่กลับมาจากต่างจังหวัด เนื่องจากยังอยู่ในสถานการณ์เฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 อยู่

         ต่อมานางมานัสศรี ตันไล้ วัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรีได้กล่าวเสริมในด้านของรูปแบบการจัดกิจกรรม ความสำคัญของกิจกรรม การมีส่วนร่วมในการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ ประจำปีพุทธศักราช 2566 การสืบสาน รักษามรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น “ประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท” ซึ่งเป็นประเพณีเดิมของชุมชน

              ในครั้งนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ซึ่งอนุมัติให้ประเพณีสงกรานต์ เข้าสู่รายชื่อเบื้องต้น (Tentative list) เพื่อพิจารณาในที่ประชุมให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมชิ้นที่ 4 ของประเทศไทย ต่อจาก โขน นวดแผนไทย และรำโนราห์ของภาคใต้ ในปีที่ผ่าน ๆ มา

              ซึ่งไทยเรามีวัฒนธรรมค่อนข้างหลากหลายและนับว่าเป็นอำนาจอ่อน (Soft Power) ที่มีอิทธิพลอย่างมากมาย ซึ่งแบ่งหลัก ๆ ได้เป็น 5F คือ อาหารไทย (Food) ภาพยนตร์ไทย (Film) การแต่งกายไทย (Fashion) ศิลปะการป้องกันตัวไทย (Fight) และประเพณีไทย (Festival) ซึ่งประเพณีสงกรานต์ในตำบลตะปอน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรีนั้น มีการผลักดันหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นเมือง การแต่งกายไทย และประเพณีไทย เป็นต้น ซึ่งเมื่อพูดถึงประเพณีสงกรานต์แล้ว ยังมีประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท ซึ่งเป็นประเพณีในชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากผู้อำนวยการวัดตะปอนใหญ่อีกด้วย

              โดยนางสาวเสาวนีย์ คนกล้า ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานจันทบุรี ได้กล่าวถึงแผนการต้อนรับนักท่องเที่ยวของประเพณีนี้ไว้ ซึ่งจะมีการจัดการมอบรางวัลต่าง ๆ โดยสามารถติดตามได้ที่เพจ ททท.สำนักงานจันทบุรี อีกทั้งยังมีการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง “ตลาดโบราณ 270 ปี” ซึ่งถูกว่างเว้นจากนักท่องเที่ยวโดยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในปีที่ผ่านมา ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างการรับรู้ใหม่ในระยะเวลา 1-2 ปี

              ซึ่งตลาดโบราณ 270 ปี เป็นตลาดที่ตั้งอยู่ภายในวัดบ้านตะปอนใหญ่ ตำบลตะปอน อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เป็นตลาดโบราณน่าเดิน มีสินค้ามากมายที่พ่อค้าแม่ค้านำมาขาย วางเรียงกันละลานตา ทั้งขนมพื้นบ้าน ผักสวนครัว ผลผลิตในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งแต่ละอย่างจะเป็นของหากินยาก โดยมีกิมมิคที่พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของจะแต่งกายย้อนยุค

              และเมื่อพูดถึง “ประเพณีชักเย่อเกวียนพระบาท” เพื่อน ๆ คงสงสัยกันใช่มั้ยครับ ว่าประเพณีนี้คืออะไร ซึ่งเราได้รับข้อมูลจาก นางสาวพัชรินทร์ ทศานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลตะปอนว่า

              การเล่นชักเย่อเกวียนพระบาทของที่นี่ปฏิบัติสืบทอดมาเป็นเวลานาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และถือเป็นกิจกรรมสำคัญของชุมชนแห่งนี้ โดยในวันที่ ๑๕-๑๖ เมษายน ที่วัดตะปอนน้อยจัดให้เล่นชักเย่อเกวียนพระบาทเพื่อความสนุกสนาน ส่วนที่วัดตะปอนใหญ่จัดในที่ ๑๗ เมษายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเทศกาล ถือเป็นงานใหญ่เพราะเป็นการแข่งขันชักเย่อเกวียนพระบาทแบบจริงจัง ซึ่งตามประวัติที่เล่าต่อกันมาเกี่ยวกับการแห่เกวียนพระบาทและการชักเย่อเกวียนพระบาทมีอยู่ว่า ในอดีตเชื่อว่าเมื่ออัญเชิญผ้าพระบาทขึ้นเกวียนแห่ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชน จะทำให้โรคภัยไข้เจ็บของผู้คนที่เกวียนพระบาทชักลากผ่านไปทุเลาและหายลง อีกทั้งจะได้รับความโชคดี ทำให้แต่ละบ้านอยากอัญเชิญผ้าพระบาทไปประดิษฐานไว้ ทำให้เกิดกิจกรรมการเล่นชักเย่อเกวียนพระบาทขึ้นตามมา โดยแต่ละบ้านส่งทีมมาแข่งขันกัน ทีมใดชนะก็จะได้สิทธิ์ในการนำผ้าพระบาทไปประดิษฐานไว้หนึ่งปี ต่อมาภายหลังได้ยกเลิกไป เหลือแต่แข่งขันเพื่อความสนุกสนานและเสริมสร้างความสามัคคีในชุมชน ส่วนผ้าพระบาทผืนที่นำมาจากภาคใต้เก็บรักษาไว้ที่วัดตะปอนน้อย

              และสุดท้ายเครือข่ายงดเหล้าของเรา โดย นางสาวสมรุจี สุขสม เจ้าหน้าที่ส่วนงานบุญประเพณี และนโยบายสาธารณะได้ขอความร่วมมือไว้ 3 ประการ ดังนี้

    1. สร้างความสนุก และเสริมความปลอดภัย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
    2. ภาคตะวันออกของเราโชคดีในเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ที่ไม่สูงเท่าพื้นที่ในภาคอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้นักท่องเที่ยวมีมากขึ้น อยากสร้างความตระหนักถึงการเป็นพลเมืองดี ไม่ทะเลาะวิวาท
    3. จากที่กล่าวมาทางเครือข่ายงดเหล้า (สคล.) โดยกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ขอความร่วมมือประชาชนทุกท่านอยู่ภายใต้กฎหมาย ขายในวันและเวลาที่ถูกต้อง ถูกวัย และถูกสถานที่ ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์ในการดื่มได้ แต่ไม่ลิดรอนสิทธิ์ของผู้อื่น

    “ พื้นที่ปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องปลอดเหล้าหากเรารู้สิทธิของตนเองและผู้อื่น แต่ควรตระหนักไว้ตลอดเวลาว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์คือปัจจัยหนึ่งในการเกิดเหตุทะเลาะวิวาท และอุบัติเหตุ “

                สุดท้ายนี้อยากฝากขอทุกคนที่กลับบ้านต่างจังหวัดให้ “ดื่มไม่ขับ” และ “ง่วงไม่ขับ” กลับบ้านปลอดภัยทุกท่านครับ เพราะที่บ้านมีคนที่รอเราอยู่ : D

  • สงกรานต์ปลอดภัย ถนนข้าวทิพย์ปลอดเหล้า

    สงกรานต์ปลอดภัย ถนนข้าวทิพย์ปลอดเหล้า

    เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีสงกรานต์ให้คงอยู่ สืบทอดมรดกด้านประเพณีวัฒนธรรม ทั้งสนับสนุนประชาชนได้มีโอกาสร่วมทำบุญ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส ริมสร้างพบฐานทางจิตใจอันดีงาม และเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และท้องถิ่น

    วันพุธที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นายกิจฐพร โชติสุวรรณ์ นายกเทศมนตรีเมืองจันทบุรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ร.ต.ต. ดร. ปัญญาวัฒน์ กระทุ่มเขต ประธานเครือข่ายประชาคมงดเหล้า จังหวัดจันทบุรี นายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดจันทบุรี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระปกเกล้า สรรพสามิตพื้นที่จันทบุรี วัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี และ ผู้จัดการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า ร่วมแถลงข่าวพิธีเปิดงานประเพณีกวนข้าวทิพย์ และงานสงกรานต์ ปลอดเหล้าถนนข้าวทิพย์ จังหวัดจันทบุรี โดยมีคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล ปลัดเทศบาล รองปลัดเทศบาล ผู้อำนวยการสำนัก/กอง หัวหน้าส่วนการงาน เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชน และสื่อมวลชน ร่วมรับฟังการแถลงข่าว ณ สวนสาธารณะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดจันทบุรี

    เทศบาลเมืองจันทบุรี ร่วมกับ วัดใหม่เมืองจันท์ วัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี และสำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กำหนดจัดงานส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๖ ระหว่างวันที่ ๑๒ – ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖ โดยในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ น. พิธีเปิดงานประเพณีกวนข้าวทิพย์ ณ ปะรำพิธีวัดใหม่ เวลา ๐๙.๓๐ น. พิธีเปิดงานสงกรานต์ปลอดเหล้า ถนนข้าวทิพย์ ณ ลานกีฬาคนรักจันท์ รวมแทนน้ำ “สงกรานต์กลางผืนแห่งแรกในประเทศไทย คนเดียวเท่านั้น และในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๐๐ น.โครงการส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๖ ร่วมกิจกรรมเทเหล้า จากโครงการ ฝากเหล้าไว้กับตำรวจ การแสดงของนักเรียนในสังกัดเทศบาลเมืองจันทบุรี กิจกรรมสรงน้ำพระ รดน้ำผู้ว่าราชการ จันทบุรี และรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ณ วัดใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี

  • สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ย้ำ “การดูแลพระภิกษุอาพาธ เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพระสงฆ์ พระสังฆาธิการ ต้องดูแลพระภิกษุผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ทอดทิ้ง ยามอาพาธเจ็บป่วยจนกว่าจะหายดี ”

    สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ย้ำ “การดูแลพระภิกษุอาพาธ เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพระสงฆ์ พระสังฆาธิการ ต้องดูแลพระภิกษุผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ทอดทิ้ง ยามอาพาธเจ็บป่วยจนกว่าจะหายดี ”

    สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามย้ำ “การดูแลพระภิกษุอาพาธ เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพระสงฆ์ พระสังฆาธิการ ต้องดูแลพระภิกษุผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ทอดทิ้ง ยามเจ็บป่วยไม่สบายจนกว่าจะหายดี หรือจนกว่าจะหายป่วย”

    ในการเป็นประธานกล่าวให้ข้อคิดเห็น และให้นโยบายเปิดเวทีการประชุมขับเคลื่อนเครือข่ายกองบุญพระภิกษุอาพาธระดับประเทศ ผ่านระบบ video conference zoom

    วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม  2565  ช่วงเช้ามีการประชุมใหญ่ประจำปีกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์จังหวัดจันทบุรี มอบทุนผู้สูงอายุ-ทุนการศึกษา-ผู้พิการ-ผู้ด้อยโอกาส จำนวน 1,100 ทุน และ ช่วงบ่าย มีการประชุมขับเคลื่อนเครือข่ายกองบุญพระภิกษุอาพาธระดับประเทศ ภายใต้กรอบ “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ 2560 และข้อตกลงความร่วมมือบทบาทการเกื้อหนุนวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน และจังหวัดบูรณาการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข  โดยช่วงบ่ายมีพระสงฆ์จังหวัดต้นแบบที่จัดตั้งกองบุญพระภิกษุอาพาธแล้ว และอำเภอเครือข่ายกองบุญพระภิกษุอาพาธ

    โดยมีพระเทพสิทธิเวที เจ้าคณะจังหวัดระยอง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์  มีผู้ร่วมประชุมเจ้าคณะจังหวัด  พระศรีพัชโรดม เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์  พระครูศรีมงคลปริยัติกิจ เจ้าคณะจังหวัดสะเกษ พระราชธรรมเมธี เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี พระเทพวราจารย์ เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี มอบพระพิพัฒน์วชิโรภาส เจ้าอาวาสวัดป่าดงใหญ่วังอ้อ เจ้าคณะตำบลหัวดอน ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทยแทน พระเทพเสนาบดี เจ้าคณะจังหวัดลพบุรี   พระโสภณพัฒนคุณ เจ้าคณะอำเภอหนองม่วงแทน ผู้แทนพระราชสารโสภณ รองเจ้าคณะจังหวัดชลบุรี   ผู้แทนพระบุรเขตธรรมคณี เจ้าคณะจังหวัดตราด  พระครูโพธิวีรคุณ เจ้าคณะอำเภอปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด พระครูสุมณฑ์ธรรมธาดา จังหวัดสุโขทัย  เป็นต้น   ประธานฝ่ายฆราวาส นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มอบหมายให้ นายธวัชชัย นามสมุทร รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ปฏิบัติราชการแทน  

    พระราชธรรมเมธี เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี ประธานกองบุญพระภิกษุอาพาธฺจังหวัดจันทบุรี กล่าวรายความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการจัดเวทีประชุมขับเคลื่อนเครือข่ายกองบุญพระภิกษุอาพาธระดับประเทศ โดยสรุปใจความสำคัญว่า

                คณะสงฆ์จังหวัดจังหวัดจันทบุรีทั้ง 10 อำเภอได้เรียนรู้เรื่อง “กองบุญ” จากบทเรียนของพระสงฆ์นักพัฒนาทั่วประเทศโดยพระครูสุวรรณโพธิวรธรรม วัดโพธิ์ทอง นำมาขยายผลได้จัดตั้ง “กองบุญสุขภาวะพระสังฆาธิการจังหวัดจันทบุรี”และได้นำความรู้นี้เข้าไปถวายแลกเปลี่ยนกับพระสงฆ์เจ้าคณะสงฆ์จังหวัดใกล้เคียง และจังหวัดที่เป็นเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศ  7 จังหวัดที่จัดตั้งกองบุญฯเสร็จ ได้แก่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดเพชรบูรณ์ มีจำนวนสมาชิกแต่ละจังหวัด  รวมแล้วประมาน 10,000 รูป ได้รับสวัสดิการยามเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ และมรณภาพแล้วมากกว่าสี่พันรูป ต่างมีประโยชนน์ร่วมกันว่า “กองบุญนี้” เป็นการวางรากฐานการดูสุขภาพพระสงฆ์ไทยที่สำคัญในอนาคตตามหลักธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ปี 2560 ข้อที่ 33 ว่าด้วยการจัดตั้งทุนระดับชาติ และระดับพื้นที่เป็นไปเพื่อความสังเคราะห์ เกื้อกูลกันในหมู่พระสงฆ์ตามหลักการทำงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ คือ 1.อัตถายะ เป็นประโยชน์ 2.หิตายะ เกื้อกูลกัน และ 3.สุขายะ มีความสุขสันติสุข และตามคติธรรมที่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงฆราช สกลมหาสฆปริณายก ได้ประทานในการประชุมสัมมนาขับเคลื่อนงานฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ตามแผนปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาจากนโยบายสู่การปฏิบัติระดับจังหวัด ความตอนหนึ่งว่า “บุคคลพึงบำเพ็ญกรณียกิจเพื่อเกื้อกูลกันและกัน ด้วยการละคลายความเป็นตัวตนให้มากที่สุด” ให้สมดังพระพุทธศาสนที่ว่า “ภูตํ เสสํ ทยิตพฺพํ แปลความว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ควรเกื้อกูลกัน”

    พระราชธรรมเมธี กล่าวรายงานต่อว่า การจัดเวทีวันนี้ เพื่อรับฟังความคิดเห็น จากเจ้าคณะจังหวัดทั้ง 12 จังหวัด เจ้าคณะอำเภอเครือข่าย พระสงฆ์ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วสรุปผลเป็นแนวทางการขยายผลผลักดัน ให้เกิดการจัดตั้งกองบุญพระภิกษุอาพาธระดับจังหวัด ขยายในเชิงปริมาณถึงระดับประเทศต่อไป

    สมเด็จพระมหาธีราจารย์  ได้ให้ข้อคิดเห็นชื่นชม และนโยบายโดยสรุปว่า เป็นที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ที่คณะสงฆ์ได้ใช้หลักธรรมนำทางโลก ใช้หลักการสาธารณสงเคราะห์ ชุมชน สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสงเคราะห์กันเองในหมู่สงฆ์ ด้วยคาดหวังจะวางรากฐานการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ โดยการจัดตั้งกองบุญพระภิกษุอาพาธระดับจังหวัด ใช้การจัดการรูปแบบใหม่ผ่านระบบไอทที่สอดคล้องโลกปัจจุบัน และสอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนา  ซึ่งข้อเท็จจริงแล้ว การดูแดพระสงฆ์อาพาธ เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสงฆ์ พระสังฆาธิการ ต้องดูแลพระภิกษุผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ไม่ทอดทิ้ง ยามเจ็บป่วยไม่สบายจนกว่าจะหายดี หรือจนกว่าจะจากกันไป  ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ตอนหนึ่งว่า :

    “..ดูกรภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอไม่มีมารดาบิดา ผู้ใดเล่าจะพึงพยาบาลพวกเธอ ถ้าพวกเธอจักไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจักพยาบาล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธเถิด ฯลฯ  

    ถ้าไม่มีอุปัชฌายะ อาจารย์ สัทธิวิการิก อันเตวาสิก ภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะ  หรือภิกษุผู้ร่วมอาจารย์ เป็นหน้าที่ของสงฆ์ที่ต้องพยาบาลจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะหาย”

    การขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ ปี  2560 การดำเนินงานได้มีความก้าวหน้าในประเด็นที่สำคัญ อาทิ

    1. พระสงฆ์เข้าถึงสิทธิในการรับบริการสุขภาพ 181,757 รูป
    2. พระสงฆ์ได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพในวัดทุกรูป จำนวน 10,491 วัด
    3. มีการจับคู่ 1 วัด 1 สถานพยาบาลจำนวน 9,622 วัด /สถานพยาบาล
    4. มีการอบรมพระคิลานุปัฏฐากแล้ว 9,588 รูป

    การประชุม ขอให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ ในการรับฟังความคิดเห็นจากเจ้าคณะจังหวัด  เจ้าคณะอำเภอเครือข่าย พระสงฆ์ รวมทั้งผู้แทนกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการจัดตั้งกองบุญพระภิกษุอาพาธระดับจังหวัดนั้น ขอให้คิดถึง การต่อยอดประเด็นที่มีความก้าวหน้าตามที่กล่าวแล้ว ในลักษณะความเชื่อมโยง การสนับสนุนกันอย่างไร  แล้วหาต้นแบบที่เป็นรูปธรรมเพื่อการขยายผลให้เกิดคุณูปการต่อการดูแลสุขภาพพระสงฆ์กันเองเบื้องต้น แบบครบวงจร ที่สอดคล้องกับหลักการพระพุทธศาสนาต่อไป  

    เจ้าคณะจังหวัด และเจ้าคณะอำเภอเครือข่ายกองบุญพระภิกษุอาพาธมีมติร่วมกันจะร่วมผลักดัน ขยายบทเรียนการจัดตั้งกองบุญพระภิกษุอาพาธ เพื่อวางรากฐานการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ไทย ดังนี้

    1. ยึดหลักการ “การดูแลภิกษุอาพาธ เป็นหน้าที่โดยธรรม โดยวินัยของคณะสงฆ์ทุกระดับ ไม่ทอดทิ้ง เกื้อกูล ยามเจ็บป่วยไม่สบายจนกว่าจะหายดี หรือจนกว่าจะตายจากกันไป”
    2. จะขยายผลต่อเริ่มต้นจากบทเรียน ความรู้ ประสบการณ์ จากจังหวัดที่จัดตั้งได้แล้ว จากแต่ละภาค จังหวัด ขยายสู่จังหวัดใกล้เคียงที่สนใจ เป็นพี่เลี้ยง การสื่อสาร สร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันด้วย
    3. พัฒนาทีมวิทยากร การจัดการการเงิน และระบบการจัดการ
    4. วางโครงสร้างเครือข่ายภาคีกองบุญพระภิกษุอาพาธ โดยมี พระราชธรรมเมธี เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี เป็นประธาน     

    ชัยณรงค์ คำแดง รายงาน