Tag: ท่องเที่ยวชุมชน

  • “คนเลี้ยงช้าง ช้างเลี้ยงคน” การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

    “คนเลี้ยงช้าง ช้างเลี้ยงคน” การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

    คนกับช้าง

    ช้างเป็นสัตว์ประจำชาติไทยมาแต่โบราณ คนกับช้างอยู่ร่วมกันทำงานด้วยกัน บางครั้งเราก็เอาเปรียบช้าง แต่หลายครั้งเราก็ดูแลช้างและจังหวัดสุรินทร์ก็เป็นจังหวัดที่มีทั้งวัฒนธรรมของชาวกุยที่เกี่ยวกับช้างที่สืบทอดมายาวนาน เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับการคล้องช้าง ดูแลช้างเพื่อนำช้างไปใช้ในราชการงานเมืองต่างๆตั้งแต่โบราณแต่ปัจจุบันนี้สภาพสังคมเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อมได้เปลี่ยนไปแล้วเทคโนโลยีต่างๆได้เข้ามาแทนที่ จากเดิมที่ช้างต้องทำงานลากไม้ งานขนส่ง หรือแม้กระทั่งงานสงคราม ก็ได้ถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาตามลำดับ

    ช้างไทยในปัจจุบันจึงเปลี่ยนบทบาทไปสู่การทำงานด้านอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวทั้งเชิงวัฒนธรรมและเชิงสันทนาการช้างแต่ละเชือกในปัจจุบันก็ไม่ใช่ช้างป่าอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าช้างอยู่กับคน อยู่กับควาญ ครอบครัวนั้นๆมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่าของช้างเชือกนั้นอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยให้ช้างเข้าป่าเป็นช้างป่าตามแบบเดิมที่เขาเคยเป็นมาเมื่อต้นตระกูลของช้างเชือกนั้นเคยเป็น

    แม้ว่าในปัจจุบันกระแสจากโลกภายนอกประเทศต่างๆ หรือคนรุ่นใหม่มีคำถามที่ว่า ทำไมคนเลี้ยงช้างถึงจำเป็นจะต้องล่ามโซ่ช้างเหล่านั้นไว้ไม่ปล่อยให้ช้างเหล่านั้นเดินไปเดินมาได้สบายๆซึ่งควาญแต่ละเชือกก็จะพูดในประเด็นที่ว่าเพราะความปลอดภัยของทั้งช้าง ควาญและนักท่องเที่ยว ซึ่งหลายครั้งก็ยังไม่มีน้ำหนักพอสำหรับคำถามดังกล่าว

    วัฒนธรรมสร้างสุขท่องเที่ยวปลอดภัย

    โครงการวัฒนธรรมสร้างสุขท่องเที่ยวปลอดภัยจึงมีความเห็นว่าในประเด็นนี้สอดคล้องกับภารกิจของโครงการเป็นอย่างยิ่งทั้งเรื่องความปลอดภัย เรื่องการรักษาวัฒนธรรม และ สัมมาชีพของทั้งคนและช้าง จึงได้เดินทางมาศึกษาดูงานที่หมู่บ้านช้างบ้านหนองบัว จังหวัดสุรินทร์มาอย่างต่อเนื่องกว่า 1 ปีและ เมื่อวันที่ 24-26 มกราคม 2566 จึงถือเป็นโอกาสอันดีในการจัดกิจกรรมทดลองเที่ยวและประชุมเชิงปฏิบัติการไปพร้อมกัน เพื่อหาแนวคิด หากิจกรรมวางแผนร่วมกันเพื่อตอบโจทย์ปัญหาความปลอดภัยของช้างและนักท่องเที่ยวที่ทำงานทางด้านท่องเที่ยวซึ่งรวมถึงการตอบปัญหาเรื่องทำไมต้องล่ามช้าง

    ทางโครงการจึงเชิญนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและผู้ประสานงานจังหวัดและผู้ประสานงานภาคของเครือข่ายงดเหล้าภาคอีสานล่าง นำโดย คุณสุวัลยา โต๊ะสิงห์ และ คุณวิญญู ศรีศุภโชค และ คุณยุทธพงศ์ ศีลาภิรัติ ทีมงาน Voluntist เข้ามาร่วมดูกิจกรรมและประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางการทำงานเพื่อขับเคลื่อนหรือแก้ไขประเด็นนี้ ร่วมกับทีมงานหนองบัวโฮมสเตย์ที่นำโดยคุณวรรณา ศาลางาม

    อาสาพัฒนาชุมชน

    โดยได้จัดกิจกรรมทดลองเที่ยวหมู่บ้านช้างเป็นเวลา 2 วัน 2 คืนโดยพ่วงกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาชุมชนผ่านการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนบ้านบัว เข้าไปด้วย โดยกิจกรรมนี้เราออกแบบว่า เราอยากให้ชุมชนบ้านหนองบัวเห็นถึงความรู้สึกของนักท่องเที่ยวจากทางฝั่งตะวันตกหรือคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองที่เป็นลบกับการล่ามโซ่ช้าง ทั้งก่อนและหลังการได้อยู่กับช้างร่วมกันกับเรา

    ซึ่งผลลัพธ์ออกมา ก็ตรงกับสมมติฐานที่ว่านักท่องเที่ยวฝั่งชาติตะวันตกที่มีภาพลบกับการล่ามโซ่ ก็ยังคงติดใจเรื่องประเด็นนี้บ้าง แต่สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ยังไม่ถึงกับตั้งแง่กับประเด็นนี้มากนัก ต่างประทับใจกับการได้อยู่กับช้างกันอย่างมาก โดยมีคำแนะนำจากคุณ Jacob Dey ที่ว่าอยากให้ลดการใช้ขอ หรือ จากคุณ Eva Stein และ คุณ Lea Segatto ที่รู้สึกยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัดงาเพื่อทำเครื่องประดับ ทั้งที่อธิบายแล้วว่า เพื่อความสบาย และ ป้องกันปัญหางาหักของช้าง เป็นต้น

    นอกจากนั้นสิ่งที่ได้มาจากการประชุมร่วมกันกับชาวต่างชาติทั้งกลุ่ม คือ หากทำให้ช้างเหล่านั้นรวมทั้งควาญที่ดูแลช้าง ครอบครัวของควาญที่ดูแลช้าง มีความอิ่มมีความสบายในเรื่องของอาชีพหรือรายได้และอาหารแล้วช้างก็จะไม่จำเป็นต้องทำงาน ซึ่งหมายความว่าจะเป็นกาลดการนำช้างให้ไปเจอกับคนแปลกหน้าซึ่งก็คือนักท่องเที่ยวลงไปได้ ซึ่งจะเป็นสาเหตุไปสู่การทำให้เราสามารถปล่อยช้างให้อยู่ในพื้นที่ที่กว้างขวางกว่าเดิมแทนที่จะต้องล่ามโซ่เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวฃ

    ทางโครงการจึงมีความคิดร่วมกันว่าจะริเริ่มทำกิจกรรมทดลองเที่ยวนำนักท่องเที่ยวมาทดลองใช้ชีวิตร่วมกับช้าง ณ หมู่บ้านช้างหนองบัวนี้ เพื่อสร้างการรับรู้ให้เห็นถึงวิถีวัฒนธรรมชาวกวยและช้างที่อยู่กันอย่างเป็นครอบครัวมานานกว่าหลายร้อยปีผ่านการมาสัมผัสจริงโดยใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวนำและจะร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆที่ทำงานด้านรณรงค์ของเครือข่ายงดเหล้ามากกว่า 10 ปี เข้ามา โดยนำเอาจุดต่างและจุดแข็งมาประสานกันเพื่อนำไปสู่ เป้าหมายสูงสุดคือทำให้เกิดภาพที่เป็นสุข สุขภาวะ ของคนเลี้ยงช้าง ช้างเลี้ยงคนกันอย่างมีความสุข เช่น ควาญช้างไม่จนเครียด ไม่กินเหล้า หรือ ช้างไม่ทำงานหนัก

    โตยในขั้นตอนต่อไปทางโครงการจะร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกิจกรรมนี้ร่วมกับทางฝั่งสคล. ส่วนกลางและภูมิภาค ร่วมกับแกนนำชุมชนหนองบัวเพื่อจัดสรรกิจกรรมให้สอดคล้องกับปฏิทินการทำงานตลอดทั้งปีของเครือข่ายงดเหล้า เช่น การณรงค์เรื่องแข่งเรืองดเหล้าท่าตูม และ ดึงให้เครือข่ายนักเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนช้างบุญวิทยา เข้ามาเชื่อมงานด้านประชาสัมพันธ์เพื่อชุมชนหนองบัว ที่ทางชุมชนยังต้องการความช่วยเหลือด้านนี้เช่นกัน

    วัฒนธรรมชาวกูย

    แม้จะเป็นเป้าหมายที่ดูยาก แต่หากเริ่ม ณ วันนี้ ภาพช้างไทย ที่ปลอดภัย มีสุขภาวะ และ วัฒนธรรมชาวกูย ก็จะได้รับการรักษาต่อยอดอย่างมีเกียรติ และ ยั่งยืน
  • นักวิ่งกว่า 600 คน ร่วมวิ่งตามรอยพระเจ้าตาก (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกษัตริย์) ณ วัดเขาขุนพนม ต.บ้านเกาะ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช

    นักวิ่งกว่า 600 คน ร่วมวิ่งตามรอยพระเจ้าตาก (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกษัตริย์) ณ วัดเขาขุนพนม ต.บ้านเกาะ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช

            กิจกรรมเดิน – วิ่ง ตามรอยพระเจ้าตาก พิชิตถ้ำตากฟ้า 245 ขั้น เป็นกิจกรรมส่งท้ายปีใหม่ของชาวชุมชนตำบลบ้านเกาะ นำโดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สคล.นครศรีธรรมราช องค์กรหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันจัดงานวิ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ พระเจ้าตากสินมหาราช วัดเขาขุนพนม การที่ชุมชนต้นแบบศูนย์เรียนรู้งดเหล้าลดปัจจัยเสี่ยงภาคใต้ตอนบน ต.บ้านเกาะ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ขับเคลื่อนงดเหล้าเข้าพรรษาและขยับสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นการยกระดับสร้างความเข้มแข็งชุมชน ในการจัดงานวิ่ง ตามรอยพระเจ้าตาก พิชิตถ้ำตากฟ้า 245 ขั้น ซึ่งได้จัดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม 2565 โดยมีนักวิ่งผู้รักสุขภาพและศรัทธาในพระเจ้าตากสินจำนวนกว่า 600 คน ได้เข้าร่วมกิจกรรม ณ วัดเขาขุนพนม ต.บ้านเกาะ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช
           ก่อนเริ่มต้นกิจกรรมวิ่งดังกล่าว ได้มีการทำพิธีสักการะพระเจ้าตากสิน เพื่ออำนวยอวยชัยให้นักวิ่งที่เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้อนรับปีใหม่ 2566 และมีการ warm up อุ่นร่างกาย เตรียมความพร้อมก่อนวิ่ง หลังจากนั้นประธานในพิธี นายไตรรัตน์ ไชยรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กล่าวเปิดกิจกรรมเดิน – วิ่ง ตามรอยพระเจ้าตาก พิชิตถ้ำตากฟ้า 245 ขั้น และทำการปล่อยตัวนักวิ่ง ซึ่งมีระยะทางในการวิ่ง 4 กม. โดยเส้นทางวิ่งจะเป็นการวิ่งรอบเขาขุนพนม และเดินขึ้นบันได 245 ขั้น พิชิตถ้ำตากฟ้า

    โดยนายอภินันท์ แสนเสนา (กำนัน และ หัวหน้าศูนย์งดเหล้าลดปัจจัยเสี่ยงตำบลบ้านเกาะ) ได้ให้ข้อมูลว่า วัดเขาขุนพนม เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และการสันนิษฐานว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ถูกประหารชีวิต แต่ได้สับเปลี่ยนพระองค์กับพระญาติหรือทหารคนสนิท แล้วเสด็จมายังจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อประทับเมื่อทรงผนวชเจริญวิปัสนากรรมกรรมฐาน ซึ่งชาวเขาขุนพนมมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จหนีมาประทับที่เขาขุนพนม จึงได้ร่วมมือกันสร้างพระตำหนักสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณที่เชื่อว่าพระองค์ ประทับขณะผนวชอยู่ ประชาชนที่ยังระลึกถึงวีรกรรม และความกล้าหาญในการกู้เอกราชชาติไทยในสมัยเสีย กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ได้ร่วมกันสร้างพระบรมสาทิสลักษณ์ ทั้งในเพศบรรชิต และชุดฉลองพระองค์นักรบ แล้วอัญเชิญมาไว้ในศาลให้ผู้คนที่ศรัทธาได้มากราบไหว้ ปัจจุบันจึงมีประชาชน จากทั่วสารทิศมาเขาขุนพนม อยู่เสมอเพื่อตามรอยพระเจ้าตากสินมหาราชและจะมีการบวงสรวงพระเจ้าตากสินทุกวันที่ 28 ธันวาคม ของทุกปี

            สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการกระตุ้นให้คนในพื้นที่ออกมาวิ่งเพื่อสุขภาพและส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชน และรายได้ที่ได้รับ หลังหักค่าใช้จ่าย จะส่งมอบแก่ ศูนย์งดเหล้าลดปัจจัยเสี่ยง ตำบลบ้านเกาะ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำเมา  
  • นักวิ่งกว่า 500 ชีวิต ร่วมพิชิตประวัติศาสตร์ขุมเหมืองแห่งตำนาน ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร

    นักวิ่งกว่า 500 ชีวิต ร่วมพิชิตประวัติศาสตร์ขุมเหมืองแห่งตำนาน ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร

               เมื่อวันที่ 24 - 25 ธันวาคม 2565 ชุมชนศูนย์เรียนรู้งดเหล้าลดปัจจัยเสี่ยง หรือ ชุมชนสู้เหล้าจังหวัดชุมพร ร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดกิจกรรมวิ่งเพื่อสุขภาพ โดยเชิญชวนคนในพื้นที่และบุคคลที่รักสุขภาพที่สนใจร่วมกิจกรรมวิ่งตามรอยประวัติศาสตร์การทำเหมืองแร่
    นางสาวแสงนภา หลีรัตนะ
                 โดยนางสาวแสงนภา หลีรัตนะ หรือว่า “พี่สาว” ได้เล่าว่า พื้นที่ที่จัดงานนี้เรียกว่า “บ้านในเหมือง” หรือ “เหมืองในหูด” ซึ่งมีประวัติศาสตร์การทำเหมืองแร่มานานกว่า 109 ปี และเป็นพื้นที่ที่มีความเจริญเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีชาวต่างชาติเข้ามาทำเหมืองแร่ จนถึงปีพศ. 2538 แร่ได้หมดลง ชาวบ้านจึงต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการเป็นคนงานในเหมืองแร่สู่การเป็นเกษตรกร เมื่อวันเวลาผ่านไปชาวบ้านในพื้นที่กลัวว่า เด็กรุ่นหลังจะไม่ทราบประวัติความเป็นมาของบ้านเกิดตนเอง และไม่เกิดสำนึกรักถิ่นบ้านเกิด ทางชุมชนเห็นร่วมกันว่าอยากให้เด็กๆได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาของบ้านเกิดตนเอง โดยการฟื้นประวัติศาสตร์ขึ้นมาอีกครั้งผ่านการทำพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ โดยให้เห็นวิถีชีวิตของคนรุ่นปู่ย่า ตายาย สมัยยังมีการทำเหมืองแร่ในพื้นที่นี้อยู่ จึงมีการจัดงาน “วิ่งขุมเหมือง เมืองแห่งตำนาน” เพื่อระดมทุนในการสร้างพิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ชุมชน การสร้างสุขภาพชุมชน และสร้างจิตสำนึกรักบ้านเกิด
    
                 ซึ่งในวันที่ 24 ธันวาคม 2565 นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประทานในพิธีเปิดงาน“วิ่งขุมเหมือง เมืองแห่งตำนาน” ซึ่งภายในงานจะมีบูธประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ มีการสาธิตการ "ร่อนแร่"

    มีการสาธิตการ “ร่อนแร่”

    มีการแสดงล่องแม่ปิงและวอนลมฝากรัก จากชาวบ้านและนักศึกษาฝึกงานจาก ต.เขาค่าย อ.สวี จ.ชุมพร

    มีการแสดงจากนักศึกษาฝึกงานจาก ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร
    

    และกิจกรรมสร้างสรรค์จากเด็กและเยาวชนในพื้นที่

    นายนพพร อุสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร
              และเมื่อเวลา 06.09 น. วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายนพพร อุสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร เป็นประธานในพิธีปล่อยตัวนักวิ่ง กิจกรรม“วิ่งขุมเหมือง เมืองแห่งตำนาน” จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 1 โดยมีนักวิ่งเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 500 คน
              โดยการจัดงานครั้งนี้ช่วยให้คนในพื้นตื่นตัวและส่งต่อประวัติศาสตร์การทำเหมืองแร่ให้กับเด็กๆรุ่นหลัง การสร้างสุขภาพที่ดีผ่านกิจกรรมวิ่ง การสร้างงานสร้างอาชีพ และเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นกับคนในพื้นที่ในอนาคต และทำให้ชุมชนสู้เหล้า หรือศูนย์เรียนรู้งดเหล้าลดปัจจัยเสี่ยงเป็นที่รู้จักมากขึ้น
  • “สองคลอง หนึ่งเล ” เท่ วิถีภูมิปัญญา คนลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาตอนล่าง

    “สองคลอง หนึ่งเล ” เท่ วิถีภูมิปัญญา คนลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาตอนล่าง

    วันที่ 26-27 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ วัดคูเต่า หมู่ที่3 ตำบลแม่ทอม อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา

    สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดสงขลา ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมการท่องเที่ยวชุมชนจังหวัดสงขลา และ ภาคีหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ทั้งภาครัฐและเอกชน นำโดย คุณ ชาญวิทูร สุขสว่างไกร (พี่อ่ำ) ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดสงขลา ได้จัดกิจกรรม “สองคลอง หนึ่งเล ” เท่วิถีภูมิปัญญา คนลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาตอนล่างขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 20 คน

    โดยมีการนัดพบที่วัดคูเต่า ถิ่นรางวัลยูเนสโก พร้อมชมสถาปัตยกรรมรางวัลยูเนสโก ชมจิตรกรรมฝาผนังโบราณและของล้ำค่าในพิพิธภัณฑ์ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ตอนล่างวัดคูเต่า ก่อนงานก็เริ่มชมการร้องเพลงเรือแหลมโพธิ์ มรดกภูมิปัญญาชุมชน จากนั้นเดินทางกับรถนั่งขนำติดล้อ ชมวิถีชีวิตริมคลองอู่ตะเภา ชมแหล่งเรียนรู้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจักสานเตยปาหนัน การทำและผลิตภัณฑ์พื้นบ้านจากต้นเตย

    จากนั้นแวะสักการะทวด ณ.ศาลาริมทาง แล้วเข้าโคก หนอง นา สวนภิรมย์ฟาร์ม ชมกิจกรรมภายในสวนเรียนรู้การทำสวนไม้ต่างๆ

    ก่อนแวะบ้านดินวังหลุมพอ และชมสวนสวารัอยปีหวานวงศ์

    ส่วนวันที่สอง จะมีกิจกรรมพายเรือคายัค ชมธรรมชาติยามเช้า จิบกาแฟแลคลอง ทานอาหารเช้า ณ.บ้านสวนธนกฤต

    เสร็จแล้วชมสระมรกต กลางป่าเสม็ดขาว ชมคนเลี้ยงชันโรงอุงและญิงยวน บางกล่ำ ชมฟาร์มทะเล ป่าชายเลน บ้านโคกเมือง

    และรับประทานอาหารเที่ยง ปิ่นโตร้อยสาย ก่อนเดินทางกลับโดยสวัสดิ์ภาพ

    Cr.ขอบคุณเนื้อหาจากเว็บไซค์ https://www.reporternews5.com/archives/41348

    ขอบคุณภาพถ่ายจากแฟนเพจ Chalatat-ชลาทัศน์